คุณทองแดง สุนัขทรงเลี้ยงสุนัขที่ 17 ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นสุนัขทรงเลี้ยงที่ติดตามถวายงานรับใช้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกครั้ง ไม่ว่าจะเสด็จพระราชดำเนินไปที่ใด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ทรงพระราชนิพนธ์ เรื่อง ทองแดง (The Story of Tongdaeng) ออกเผยแพร่เป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
ทองแดง เป็นลูกของ "แดง" สุนัขจรจัดบริเวณซอยศูนย์แพทย์พัฒนา ถนนพระราม 9 เกิดเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2541 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงนำมาเลี้ยงหลังจากเสด็จพระราชดำเนินไปเปิดศูนย์การแพทย์พระราม 9 และนายแพทย์คนหนึ่งนำคุณทองแดงมาทูลเกล้าฯ ถวายให้ทรงทอดพระเนตร คุณทองแดงเกิดหลังลูกๆ ของคุณมะลิไม่กี่วัน และทรงยกให้คุณมะลิเลี้ยงดู
ทองแดง มีพี่น้องรวม 7 ตัว ซึ่งชาวบ้านตั้งชื่อให้ว่า
ทองแดง เพศเมีย
คาลัว เพศเมีย
หนุน เพศเมีย
ทองเหลือง เพศผู้ ได้ไปอยู่บ้านของข้าราชบริพารท่านหนึ่ง
ละมุน เพศเมีย
โกโร เพศเมีย
โกโส เพศเมีย
คุณทองแดง" มีลักษณะพิเศษต่างจากลูกสุนัขตัวอื่น คือ มีสายสร้อยรอบคอครึ่งเส้น มีถุงเท้าขาวทั้ง 4 ขา มีหางม้วนขดเป็นวง ปลายหางดอกสีขาว และมีจมูกแด่น ได้เข้าเฝ้าฯ ถวายตัวเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2541 ขณะมีอายุได้ 5 สัปดาห์ ที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงค้นในหนังสือว่า "คุณทองแดง"มีลักษณะคล้ายคลึงกับสุนัขพันธุ์บาเซนจิ ซึ่งเป็นสุนัขพันธุ์โบราณ มีถิ่นกำเนิดทางแอฟริกาใต้ นิยมใช้งานในการล่าสัตว์ แต่"คุณทองแดง"มีขนาดตัวใหญ่กว่าสุนัขพันธุ์บาเซนจิทั่วไป พระองค์จึงทรงเรียกคุณทองแดงว่าเป็น สุนัขพันธุ์ไทยซูเปอร์บาเซนจิ (ก่อนหน้านี้ทรงเรียกว่า เป็นสุนัข พันธุ์เทศ (ย่อมาจาก เทศบาล))
คุณทองแดง มีลูกกับ คุณทองแท้ สุนัขพันธุ์บาเซนจิ จำนวน 9 สุนัข เกิดเมื่อวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2543 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานชื่อให้เป็นชื่อขนมที่มีคำว่า "ทอง" และพระราชทานนามสกุลว่า สุวรรณชาด ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตีพิมพ์หนังสือชื่อ ขนมลูกๆทองแดง ออกเผยแพร่
ทองชมพูนุท เพศเมีย น้ำหนัก 360 กรัม คลอดเอง
ทองเอก เพศผู้ น้ำหนัก 310 กรัม คลอดเอง
ทองม้วน เพศผู้ น้ำหนัก 330 กรัม คลอดเอง
ทองทัต เพศผู้ น้ำหนัก 350 กรัม คลอดเอง
ทองพลุ เพศผู้ น้ำหนัก 300 กรัม ต้องฉีดยาช่วย มีลูกกับคุณหิรัญวารี
ทองหยิบ เพศผู้ น้ำหนัก 350 กรัม คลอดเอง
ทองหยอด เพศเมีย น้ำหนัก 320 กรัม คลอดเอง มีลูกกับคุณน้ำชา
ทองอัฐ เพศเมีย น้ำหนัก 290 กรัม คลอดเอง
ทองนพคุณ เพศผู้ น้ำหนัก 360 กรัม คลอดเอง
ปัจจุบัน คุณทองแดงอาศัยอยู่ที่ วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
อเมริกันพิทบูล เทอร์เรีย (American Pit Bull Terrier)
หรือที่เรียกกันว่า พิทบูลแค่เอ่ยถึชื่อสุนัขพันธุ์นี้ก็อาจทำเอาหลายคนออกอาการหวั่นๆ ซะแล้ว ก็สุนัขสายพันธุ์ พิทบูล น่ะดังก้องไปทั่วโลกในเรื่องความดุร้าย และมักจะถูกประโคมข่าวเมื่อ พิทบูล กัดคนบาดเจ็บและเสียชีวิต โดยเฉพาะกรณีที่เกิดขึ้นกับเจ้าของ ทำให้ภาพของ อเมริกันพิทบูล ในเวลานี้อาจไม่สู้ดีนัก และเป็น สุนัข ควบคุมพิเศษในหลายประเทศ ซึ่งประเทศไทยกรมปศุสัตว์สั่งห้ามนำเข้าสุนัขพันธุ์ พิทบูล โดยเด็ดขาด แต่ในประเทศไทยยังลักลอบนำเข้ามาจำหน่ายอยู่ รวมถึงมีการเลี้ยงอยู่เดิมแล้วจำนวนหนึ่ง
แม้ว่า พิทบูล จะมีนิสัยพื้นฐานที่ดุร้าย แต่ สุนัข พิทบูล ก็ขึ้นชื่ออย่างมากในเรื่องความจงรักภักดี มันสามารถตายแทนเจ้าของได้ดังจะเห็นได้จากในอดีตที่ผู้เสี้ยงมักนำมันสู่สังเวียนการต่อสู้ พิทบูล จะสู้จนตัวตายตามใบสั่งของเจ้าของ ดังคำกล่าวที่ว่า "ทาสผู้ภักดี ปีศาจสังหาร"
พิทบูล ถูกพัฒนามาจากสายพันธุ์ของ สุนัข บูลด๊อก เดิมทีเป็น สุนัข อเมริกันพิทบูล ที่ใช้งานต้อนฝูงสัตว์ (Cattie dog) เป็นสุนัขเลี้ยงแกะ (Shepherds) แต่ต่อมาสุนัขเหล่านั้นถูกนำมาผสมข้ามสายพันธุ์ จนเกิดสายพันธุ์ใหม่ จนได้ อเมริกันพิทบลู ที่มีฟันและกรามที่แข็งแกร่ง ทรงพลัง มีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ และมีความว่องไวสูง และ พิทบูล ก็ถูกนำมาใช้ในกีฬาสู้วัว (Bullbaiting) แต่ภายหลังกีฬาชนิดนี้เป็นสิ่งผิดกฎหมาย กลุ่มคนที่ชื่นชอบในกีฬาดังกล่าวจึงหันมาจับสุนัขสู้กับสุนัขแทน ทำให้ อเมริกันพิทบลู กลายเป็นสุนัขที่ขึ้นชื่อว่ามีพละกำลังมากที่สุด เท่าที่มีการพัฒนาสายพันธุ์กันมา ในความแข็งแรง ดุร้าย เสน่ห์ของ พิทบูล อยู่ที่ความจงรักภักดี มีอารมณ์คงที่ต่อมนุษย์
ที่มาของชื่อพันธุ์ พิทบูล จึงได้มาจากกีฬาสู้วัวนั่นเอง ส่วนคำว่า Pit มาจากคำที่แปลว่า หลุม คือ ในการคัดเลือกสายพันธุ์ในสมัยโบราณ พิทบูล สองตัวจะถูกนำไปปล่อยในหลุมที่คนขุดขึ้น ตัวไหนรอดจากการกัดกันก็จะปีนขึ้นจากหลุม พิทบูล ตัวนั้นจึงจะได้ดำรงพันธุ์ต่อไป ด้วยเหตุนี้ พิทบูล จึงมีความอดทนและมีความมุ่งมั่นสูงกว่า สุนัข ทั่วๆ ไป อย่างไรก็ตาม พิทบลู มีทั้งสายพันธุ์ที่มีไว้กัด และสายพันธุ์โชว์
ด้วยธรรมชาติกัดไม่ปล่อย สุนัข สายพันธุ์นี้ ถือเป็นนักล่าโดยกำเนิด พิทบูล ล่าได้ตั้งแต่ นก หนู ไปจนถึงหมูป่า มันมีความกล้าฝังลึก พิทบูล มีความอดทนต่อความเจ็บปวดทุกรูปแบบ แม้บาดแผลนั้นจะลึกและฉกรรจ์เพียงใด ไม่มีการโต้ตอบจากศัตรูใดที่จะทำให้มันร้องได้
ส่วนใครที่ไม่ชอบเสียงเห่าหอน น่ารำคาญของ สุนัข แต่ให้จำไว้เถิดว่าหากคุณเลี้ยง อเมริกันพิทบูล จะไม่ผิดหวัง เพราะ พิทบูล จะไม่ใช่ สุนัข ประเภท เห่าใบตองแห้ง ดังนั้น การที่เจ้า พิทบูล เห่ายอมมีเหตุผลเสมอ ไม่แน่สิ่งที่มันเห็นอาจเป็นสัตว์ร้าย คนแปลกหน้า หรือผู้ไม่ประสงค์ดี อย่างน้อยก็ช่วยให้คุณรับรู้สัญญาณเตือนอันไม่น่าไว้วางใจได้จากเจ้า สุนัข พันธ์นี้อย่างแน่นอน
ส่วนข้อกังขากรณี พิทบูล ทำร้ายเจ้าของ หากผู้เลี้ยงเอาใจใส่ดูแลเป็นอย่างดีเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แทบจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ทั้งนี้ หากคุณต้องเข้าบ้านในยามวิกาล จงระลึกไว้เสมอว่า สุนัข จะมองเห็นเป็นภาพขาวดำเท่านั้น จึงควรเรียกชื่อของเขาก่อนเปิดประตูเข้าบ้าน เพราะบางทีเราอาจอยู่ในตำแหน่งใต้ลม เขาจึงอาจไม่ได้กลิ่นเจ้าของ ดังนั้น เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นคนร้าย จึงควรเรียกชื่อของเขาก่อน เพราะ อเมริกันพิทบลู จะหวงเจ้าของ หวงบ้าน หากมีผู้ไม่ประสงค์ดีกล้ำกรายเข้ามา ...รับประกันเสร็จแน่!!!
ลักษณะทั่วไปของ พิทบูล
อเมริกันพิทบูล มีขนาดรูปร่างปานกลาง โดยทั่วไปควรจะมีความสูง ประมาณ 17-20 นิ้ว มีสัดส่วนที่พอดี ขนสั้นเรียบ เป็นมันเงางามและมีกล้ามเนื้อที่เด่นชัดมาก สุนัข พิทบูล เต็มไปด้วยพละกำลังเป็นอย่างมาก และมีรูปร่างที่ค่อนข้างยาวกว่าส่วนสูง หัวมีความยาวปานกลาง กว้าง ส่วนกะโหลกของ อเมริกันพิทบูล นั้นจะแบนเรียบและค่อนข้างจะกว้าง ประกอบด้วยขากรรไกรที่แข็งแรงและกว้างใหญ่ หูจะมีขนาดที่เล็กจนถึงปานกลาง หูตั้ง และบางทีก็อาจจะมีลักษณะที่เป็นธรรมชาติ(ไม่ได้ตัดหู) หรืออาจจะตัดหูหรือไม่ตัดหูก็ได้ หางสั้นชี้ลง โคนหางใหญ่ และเรียวเล็กลงไปถึงปลายหาง
ส่วนเรื่องลวดลาย หรือสีขนนั้น สุนัข พิทบูล นี้มีทุกสี และมีทุกลาย ลักษณะร่างกายของ พิทบูล จะต้องปรากฏให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง กระฉับกระเฉง สง่างาม มีลักษณะเฉพาะของสุนัขพันธุ์อเมริกันพิทบูล คือ ความแข็งแกร่ง มีความเชื่อมั่นในตัวของมันเอง และมีชีวิตที่กระหายใคร่รู้ต่อทุกสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัวมัน พิทบูล ชอบให้คนดูแลเอาใจใส่ และมีความกระตือรือร้นมาก สุนัข อเมริกันพิทบูล เป็นเพื่อนกับทุกคนที่อยู่ในครอบครัวได้เป็นอย่างดี และมีความรักเด็ก เนื่องจาก พิทบูล ส่วนใหญ่มักจะแสดงความก้าวร้าวกับ สุนัข ทั่วไป

สุนัขไทยพันธุ์เดียวในประเทศไทยที่มีขนยาวสองชั้นหางเป็นพวง มีขน ขาหน้าคล้ายขนขาแข้งสิงห์ แผงรอบคอคล้ายสิงโตมีความเฉลียว ฉลาด ไอคิวสูง ประวัติความเป็นมา ของ สุนัขไทยพันธุ์ บางแก้ว
จากข้อมูล ที่ได้สอบถามจากประชาชนตลอดจนผู้เฒ่าผู้แก่ที่บ้านบางแก้วต.บางแก้ว บ้านชุมแสสงคราม ต.ชุมแสงสงคราม อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก พอจะสรุปได้ว่า แหล่งกำเนิดของ สุนัขไทยพันธุ์บางแก้วนั้นอยู่ที่ วัดบางแก้ว ต.บางแก้ว อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำยม สภาพภูมิประเทศทั่ว ๆ ไปนั้นยังคงเป็น ป่าพง ป่าระกำ ป่าไผ่ และต้นไม้ชนิดต่าง ๆ ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นเหมาะสำหรับเป็นที่อยู่อาศัย ของสัตว์ป่าชนิดต่าง ๆ ชุกชุม เช่นช้างป่าเป็นโขลง ๆ หมู่ป่า ไก่ป่า สุนัขจิ้งจอก และหมาไน
เหตุผล ที่สันนิษฐานว่า สุนัขไทยพันธุ์บางแก้วเป็นสุนัขลูกผสมสามสายเลือด พื้นที่ในเขต ต.บางแก้ว ต.ชุมแสงสงคราม อ.บางระกำ ในอดีตนั้นเป็นป่าดงพงพีที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วย สัตว์ป่านานาชนิดรวม ทั้งสุนัขจิ้งจอก และหมาไนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โอกาสที่สุนัขจิ้กจอกและหมาไนตัวผู้จะมาแอบลักลอบเข้ามาผสมพันธุ์กับสุนัขไทยตัวเมีย ที่เลี้ยงไว้ในวัดบางแก้วนั้นมีความเป็นไปได้สูงมากทีเดียวเพราะสุนัขป่าทั้งหลายนี้เป็นสุนัขที่กล้าหาญชาญชัย ว่องไว ใจปราดเปรียว แข็งแรง เมื่อมีการผสมข้ามพันธุ์กันตามธรรมชาติหรือ เรียกง่ายๆว่าธรรมชาติเป็นผู้ผสม และคัดเลือกพันธุ์ในที่สุดก็ได้สุนัข ไทยพันธุ์บางแก้ว ซึ่งมีลักษณะดีเด่นปรากฎโฉมออกมาคือ มีขนยาว ขนมีลักษณะเป็นขนสองชั้นคล้ายอานม้า หางเป็นพวงสวยงาม มีขนแผงคอคล้ายแผงคอสิงห์โต ดุ เฉลียวฉลาด มีไอคิวสูง ไม่แพ้สุนัขพันธุ์ต่างประเทศ
หลวงพ่อมาก เมธาวี เป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ 3 ของวัดบางแก้ว ที่วัดของท่านเลี้ยง สุนัขไว้ไม่ต่ำกว่า 20-30 ตัวซึ่งส่วนใหญ่เป็นสุนัขที่ดุขึ้นชื่อลือชา และชาวบ้านทราบกันดีว่า ใครที่เข้ามาในวัด หรือมีธุระปะปังผ่านไปผ่านมาที่วัดแต่ละครั้งจะต้องตะโกนให้เสียงแต่ไกล ๆ เพื่อให้พระอาจารย์มาก เมธาวี
ท่านช่วยดูหมาเอาไว้ก่อน มิฉะนั้นจะถูกมันไล่กัดเอากระจุย กระเจิงแน่นอน ด้วยกิติศักดิ์ในความดุของ สุนัขที่วัดบางแก้วนี้เองจึงมีผู้คนนิยมมาขอลูกสุนัขไปเลี้ยงไว้ เฝ้าบ้าน เฝ้าเรือน เฝ้าเรือ เฝ้าแพ เฝ้าวัว เฝ้าควาย พื้นที่ ๆ สุนัขไทยพันธุ์บางแก้วได้ขยายพันธุ์ไปมากที่สุดก็คือ ต.บางแก้ว ต.ชุมแสงสงคราม อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก แต่ในปัจจุบันได้ขยายวงกว้างออกไป หลายจังหวัดแล้ว
เนื่องด้วยบริเวณวัดบางแก้วในสมัยนั้นมีลักษณะรอบ ๆ เป็นป่า มีสัตว์ป่าอาศัยค่อยข้างชุกชุม จนกระทั้งสุนัขตัว นั้นได้คลอดลูกออกมา ซึ่งมีลักษณะแตกต่างจากสุนัขอื่นๆ ที่มีอยู่ในวัดทั่วไป คือมีขนยาวฟู คล้ายสุนัขต่างประเทศ มีลักษณะสวยงาม โดดเด่นน่าเลี้ยง และมีความดุ จากนั้นสุนัขแบบนี้ก็มีให้เห็นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในวัดบางแก้ว จนประชาชนที่ไปวัด นั้นเห็นถึงความสวยงาม ฉลาด หวงของ และดุ มีความซื่อสัตย์ และภักดีต่อผู้เป็นเจ้าของ จึงขอสุนัขจากท่านหลวงปู่มากมาเลี้ยง เพื่อใช้ในการเฝ้าบ้าน เฝ้าแพ หรือแม้กระทั้งเฝ้าท้องไร่ ท้องนา เพราะความหวงของและซื่อสัตย์ต่อผู้เป็นนาย
สุนัขชนิดนี้จึงแพร่ขยายออกไปทั่วหมู่บ้าน และด้วยเหตุปัจจัยที่หมู่บ้านบางแก้วนั้นมีภูมิประเทศเป็นเกาะในช่วงฤดูน้ำหลากโดยมีแม่น้ำล้อมรอบ และประจวบกับในช่วงดังกล่าวก็เป็นช่วงที่สุนัขนั้นเป็นสัดพอดี สุนัขนั้นไปสามารถออกไปผสมกับสุนัขในถิ่นอื่นได้ จึงเกิดการผสมพันธุ์กันเองภายในเครือญาติเดียวกันหลายต่อหลายช่วงอายุ จนเกิดเป็นสุนัขที่มีลักษณะที่มีลักษณะเฉพาะ มีลักษณะต่างๆชัดเจนแตกต่างจากสุนัข พื้นบ้านโดยทั่วไป
จากนั้นเมื่อมีผู้เข้าไปพบเห็น เกิดการชื่นชอบจึงนำออกมาเลี้ยงกันอย่างแพร่หลายในเมืองพิษณุโลก และเรียกสุนัขดังกล่าวว่า “สุนัขบางแก้ว” ตามถิ่นกำเนิดของสุนัขนั้น เมื่อเกิดความนิยมของคนเลี้ยงทั่วไปในเมืองพิษณุโลกและจังหวัดใกล้เคียง จึงมีการรวมกลุ่มกันขึ้นของผู้ที่เลี้ยงสุนัขบางแก้ว ผู้ที่ชื่นชอบ และหน่วยงานของรัฐ เพื่อจะพัฒนาสุนัขบางแก้วให้มีมาตรฐาน จากนั้นราวปี พ.ศ. 2500 จึงมีการกำหนดมาตรฐานสายพันธุ์ของสุนัขบางแก้วขึ้นมาเป็นครั้งแรก และมีการคัดเลือกพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ ที่มีลักษณะตรงตามมาตรฐานสายพันธุ์ขึ้นมาเป็นต้นแบบในการพัฒนาสุนัขบางแก้ว รวมถึงการให้ความรู้ในการเลี้ยงการให้ยากับผู้เลี้ยง จากหน่วยงานของรัฐ ทำให้สุนัขบางแก้วมีอัตราการรอดมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุปัจจัยหลายๆ อย่างของสุนัขบางแก้วที่มีความโดดเด่นต่อผู้ที่พบเห็น รวบถึงผู้ที่เลี้ยงไว้ ทำให้สุนัขบางแก้วกายเป็นที่นิยมของผู้ที่ชื่นชอบเลี้ยงสุนัขทั่วไป ด้วยความจงรักภักดี ซื่อสัตย์ รักเจ้าของ เฝ้าระวังภัยให้กับบ้านเรือนอย่างไว้ใจได้เป็นอย่างดี
สุนัขไทยบางแก้ว มีจุดกำเนิดอยู่ที่ วัดบางแก้ว บ้านบางแก้ว ต.ท่านางงาม อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก ในช่วงสมัยหลวงปู่มาก เป็นเจ้าอาวาสรุ่นที่ 3 ของวัดบางแก้ว ท่านเป็นผู้มีความเมตตาต่อสัตย์ และเลี้ยงสัตว์ไว้เป็นจำนวนมากมายหลายชนิด ทั้งสัตว์บ้านและสัตว์ป่า รวมทั้งสุนัขด้วย ซึ่งสุนัขที่ท่านเลี้ยงนั้นไม่มีการกล่าวกันมาว่าเป็นสุนัขสายพันธุ์ใดอย่างชัดเจน แต่ตามเรื่องเล่าสืบต่อกันมานั้นท่านมีสุนัขสีดำขนยาวเพศเมียตัวหนึ่ง เมื่อเป็นสัดในฤดูผสมพันธุ์ได้เข้าไปในแนวป่ามีการสันนิฐานว่าไปผสมกับหมาป่า เนื่องด้วยบริเวณวัดบางแก้วในสมัยนั้นมีลักษณะรอบ ๆ เป็นป่า มีสัตว์ป่าอาศัยค่อยข้างชุกชุม จนกระทั้งสุนัขตัว นั้นได้คลอดลูกออกมา ซึ่งมีลักษณะแตกต่างจากสุนัขอื่นๆ ที่มีอยู่ในวัดทั่วไป คือมีขนยาวฟู คล้ายสุนัขต่างประเทศ มีลักษณะสวยงาม โดดเด่นน่าเลี้ยง และมีความดุ จากนั้นสุนัขแบบนี้ก็มีให้เห็นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในวัดบางแก้ว จนประชาชนที่ไปวัด นั้นเห็นถึงความสวยงาม ฉลาด หวงของ และดุ มีความซื่อสัตย์ และภักดีต่อผู้เป็นเจ้าของ จึงขอสุนัขจากท่านหลวงปู่มากมาเลี้ยง เพื่อใช้ในการเฝ้าบ้าน เฝ้าแพ หรือแม้กระทั้งเฝ้าท้องไร่ ท้องนา เพราะความหวงของและซื่อสัตย์ต่อผู้เป็นนาย
สุนัขชนิดนี้จึงแพร่ขยายออกไปทั่วหมู่บ้าน และด้วยเหตุปัจจัยที่หมู่บ้านบางแก้วนั้นมีภูมิประเทศเป็นเกาะในช่วงฤดูน้ำหลากโดยมีแม่น้ำล้อมรอบ และประจวบกับในช่วงดังกล่าวก็เป็นช่วงที่สุนัขนั้นเป็นสัดพอดี สุนัขนั้นไปสามารถออกไปผสมกับสุนัขในถิ่นอื่นได้ จึงเกิดการผสมพันธุ์กันเองภายในเครือญาติเดียวกันหลายต่อหลายช่วงอายุ จนเกิดเป็นสุนัขที่มีลักษณะที่มีลักษณะเฉพาะ มีลักษณะต่างๆชัดเจนแตกต่างจากสุนัข พื้นบ้านโดยทั่วไป
จากนั้นเมื่อมีผู้เข้าไปพบเห็น เกิดการชื่นชอบจึงนำออกมาเลี้ยงกันอย่างแพร่หลายในเมืองพิษณุโลก และเรียกสุนัขดังกล่าวว่า “สุนัขบางแก้ว” ตามถิ่นกำเนิดของสุนัขนั้น เมื่อเกิดความนิยมของคนเลี้ยงทั่วไปในเมืองพิษณุโลกและจังหวัดใกล้เคียง จึงมีการรวมกลุ่มกันขึ้นของผู้ที่เลี้ยงสุนัขบางแก้ว ผู้ที่ชื่นชอบ และหน่วยงานของรัฐ เพื่อจะพัฒนาสุนัขบางแก้วให้มีมาตรฐาน จากนั้นราวปี พ.ศ. 2500 จึงมีการกำหนดมาตรฐานสายพันธุ์ของสุนัขบางแก้วขึ้นมาเป็นครั้งแรก และมีการคัดเลือกพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ ที่มีลักษณะตรงตามมาตรฐานสายพันธุ์ขึ้นมาเป็นต้นแบบในการพัฒนาสุนัขบางแก้ว รวมถึงการให้ความรู้ในการเลี้ยงการให้ยากับผู้เลี้ยง จากหน่วยงานของรัฐ ทำให้สุนัขบางแก้วมีอัตราการรอดมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุปัจจัยหลายๆ อย่างของสุนัขบางแก้วที่มีความโดดเด่นต่อผู้ที่พบเห็น รวบถึงผู้ที่เลี้ยงไว้ ทำให้สุนัขบางแก้วกายเป็นที่นิยมของผู้ที่ชื่นชอบเลี้ยงสุนัขทั่วไป ด้วยความจงรักภักดี ซื่อสัตย์ รักเจ้าของ เฝ้าระวังภัยให้กับบ้านเรือนอย่างไว้ใจได้เป็นอย่างดี

ปอมเมอเรเนียนเป็นสุนัขพันธุ์เล็ก มีขนนุ่มปุกปุย มีหัวเป็นรูปลิ่ม หูตั้งชี้ขึ้น บรรพบุรุษปอมเมอเรนียนย้อนกลับไปถึงยุคก่อนคริสตกาล พบภาพวาดในแผ่นหินและรูปหล่อสัมฤทธิ์ตามโลงศพที่พบในอียิปต์ พบโครงกระดูกสุนัขพันธุ์เล็กคล้ายพันธุ์ปอมเมอเรเนียน ในอุโมงค์ที่บรรจุศพสมัยโบราณของชาวอียิปต์เชื่อกันว่าปอมเมอเรเนียนได้รับการพัฒนาให้เป็นปอมเมอเรเนียนในปัจจุบันครั้งแรกที่เมืองปอมเมอเรเนีย ประเทศเยอรมัน ตั้งอยู่ในยุโดรเหนือแถบทะเลบอลติก ดินแดนกว้างใหญ่จากตะวันตกของเกาะรูเกนถึงแม่น้ำวิทูลา ที่แห่งนี้มีการเลี้ยงสุนัขอย่างแพร่หลาย ทั้งเพื่อให้เป็นสัตว์และเพื่อให้เป็นสุนัขอารักขา ปอมเมอเรเนียนมีต้นกำเนิดจากพันธุ์สปิทซ์ในสมัยโบราณ บางคนเชื่อว่าสุนัขปอมเมอเรเนียนพัฒนาจากสุนัขพันธุ์ซามอยด์ ซึ่งมีต้นกำเนิดอยู่ที่ตอนเหนือของประเทศรัสเซียแถบไซบีเรีย บางคนเชื่อว่าพัฒนามาจากสุนัขป่า ซึ่งอาศัยอยู่ตามถ้ำในประเทศเยอรมัน และถูกนำมาใช้เป็นสุนัขเลี้ยงแกะในทวีปยุโรปตอนกลางและตอนล่าง นำมาพัฒนาในยุโรปเพื่อช่วยในการเลี้ยงแกะ ซึ่งบรรพบุรุษของปอมฯ น่าจะมีน้ำหนักมากถึง 30 ปอนด์ บางคนเชื่อว่าสุนัขปอมฯ มีต้นกำเนิดมาจากประเทศกรีซ โดยอ้างหลักฐานจากภาพวาดสมัยโบราณหลายภาพที่มีอายุ 400 ปีก่อนคริสตกาล หรือเกือบประมาณ 2500 ปีมาแล้ว มีภาพของสุนัขขนาดเล็กที่มีรูปร่างลักษณะเหมือนสุนัขปอมฯ ในปัจจุบัน คือ Stop ที่เด่นชัด ช่วงปากแหลม หูสั้น
ลักษณะการเดินและการแสดงออกเหมือนกับที่พบได้ในปัจจุบันทุกประการยกเว้นแต่ตำแหน่งของหางที่อยู่ต่ำเกินไปเท่านั้น แสดงว่าสุนัขพันธุ์นี้มีขนาดเล็กมากตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ไม่ใช่เพิ่งพัฒนาให้มีขนาดเล็กลงเมื่อ 40-50 ปีที่ผ่านมาตามที่มีคนในประเทศอังกฤษอ้างเสมอ ประมาณปี 1800 สมเด็จพระราชินีวิคตอเรีย ทรงมีความชื่นชอบในสุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียนและส่งสุนัขของพระองค์ลงประกวด ทำให้เกิดความนิยมปอมเมอเรเนียนอย่างแพร่หลายในประเทศอังกฤษ และเพราะความที่พระองค์โปรดปรานสุนัขที่มีขนาดเล็ก ผู้เพาะพันธุ์หลายคนเริ่มที่จะคัดสุนัขที่มีขนาดเล็ก ปัจจุบันปอมฯ ที่เราเห็นอยู่มีขนาดที่เล็กลงจากปอมฯ ที่เป็นต้นตำรับ 4-5 ปอนด์
ความฉลาดและความสามารถของปอมฯทำให้สุนัขพันธุ์นี้เป็นพระเอกในคณะละครสัตว์อย่างต่อเนื่อง ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในเยอรมัน นิยมเลี้ยงกันเป็นฝูง บางแห่งทำเป็นสุนัขลากเลื่อนก็มี ปอมฯ เข้าสู่อังกฤษช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 และได้รับความนิยมอย่างสูง เช่น มีการตั้งชมรมคือ English Pomeranian Club ในปี 1891 ภายหลังสมเด็จพระราชินีวิคตอเรียทรงออกงานพร้อมสุนัขพันธุ์นี้บ่อยครั้ง ทำให้สุนัขพันธุ์นี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว ส่วนในประเทศอเมริกามีการปรากฎตัวครั้งแรกของปอมเมอเรเนียนที่งานกระกวดสุนัขแห่งหนึ่งประมาณปี 1892 ไม่กี่ปีหลังจากนั้นมีการสั่งนำเข้าอีกเกือบ 200 ตัว มาตรฐานของปอมฯ โดยทั่วไป รูปรางจะเหมือนสุนัขจิ้งจอก มีขนาดกลาง ตาเป็นวงรีสีดำ หูเล็กตั้งตรง ลำตัวสั้นขนาดกระทัดรัด หางเป็นพวงแผ่อยู่บนส่วนหลัง
ณ ลุ่มน้ำของแม่น้ำ โคลิมา ตีนภูเขาเชิร์สกี้ มีชาว ชัคชิ ที่เป็นผู้พัฒนาสุนัขพันธุ์ ไซบีเรียน ฮัสกี สุนัขเหล่านี้ถูกพัฒนาเป็นพิเศษเพื่อสนองความต้องการของเขาที่ต้องการสุนัขที่มีความเร็วและความอดทนต่อการเดินทางในระยะทางไกลๆ จนทำให้ได้ ไซบีเรียนฮัสกี ที่เป็นสุนัขต้นแบบที่แข็งแรงที่สุด
ช่วงชีวิตเฉลี่ย
ไซบีเรียน ฮัสกี มีชีวิตได้นานถึง 12 ปี
ขนาดและน้ำหนักเฉลี่ย
54-60 ซม.20-27 กก.
อุปนิสัยประจำพันธุ์/ลักษณะประจำพันธุ์/อารมณ์
ไซบีเรียน ควรมีความสุภาพ ไว้ใจได้ และเป็นมิตร ความที่เป็นสุนัขอารมณ์ดีทำให้พวกเขา
เป็นสัตว์เลี้ยงของครอบครัวที่เหมาะกับคนทุกวัย และเป็นสายพันธุ์ที่มีเสน่ห์กับคุณและทุกๆ
คนตามธรรมชาติจะเป็นสุนัขที่ระวังระไว ทุ่มเท และติดตลก เป็นสุนัขที่ชอบเอาอกเอาใจเจ้า
ของ แต่ก็ควรเตรียมรับมือกับความเป็นสุนัขหัวดื้อ มุ่งมั่น และมีความเป็นตัวของตัวเองอย่าง
ไม่มีใครเทียบได้ ซึ่งอาจเป็นเพราะธรรมชาติของการเป็นสุนัขทำงาน ไซบีเรียน แต่ละตัวจะ
มีลักษณะนิสัยของตัวเขาเอง
ความเข้ากันได้กับสัตว์เลี้ยงอื่นๆ
้องดูแลเขาเช่นเดียวกับสัตว์ที่ชอบอยู่เป็นฝูง และต้องให้รู้ว่าใครเป็นเจ้านาย สามารถ
เลี้ยงร่วมกับสัตว์เลี้ยงอื่นๆได้อย่างไม่มีปัญหา
ความต้องการการเอาใจใส่ดูแล
หากไม่ได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ไซบีเรียน จะกลายเป็นตัวก่อความรำคาญเพราะเขา
ต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อลดความเบื่อหน่าย สุนัขพันธุ์นี้จะต้องคอยปรับและควบคุมการให้
อาหารพวกเขามีเมตาบอลิซึมต่ำโดยกำเนิด และต้องการการออกกำลังกายเพื่อกระตุ้นความ
อยากอาหาร ไม่มีอะไรที่ไม่น่าดูเท่ากับ ไซบีเรียน ฮัสกี อ้วนตุ๊ต๊ะอีกแล้วขณะที่สุนัขสายพันธุ์
ต่างๆ ผลัดทิ้งขนตามฤดู แต่ใน ไซบีเรียน ขนชั้นในทั้งตัวของสุนัขจะออกมาเป็นปุย ดู
เหมือนขนแกะมาก ไซบีเรียน ฮัสกี มีความขะมักเขม้น และมีความปรารถนาที่จะวิ่งอย่างที่
สุด การเข้าใจธรรมชาติของเขาและเห็นประโยชน์ในการวางทิศทางที่ดีในการออกกำลังกาย
ของ ไซบีเรียน ที่เป็นสุนัขลากเลื่อน ซึ่งเป็นความจำเป็นให้เขาได้มีทางปลดปล่อยพลังงาน
ของเขาออกมา
ข้อควรจำ
สายพันธุ์นี้มีสิ่งหนึ่งที่ต้องจำไว้,คือศักยะภาพสำหรับการไล่ตามและการฆ่าปศุสัตว์,บวกสาย
พันธุ์โดยทั่วไปนิสัยที่รักอิสระไม่ขึ้นกับใคร สุนัขพันธุ์นี้ไม่ค่อยเห่าแต่บางครั้งเสียงหอน ของ
เขาอาจจะเสียงดังไปหน่อย
ผู้เลี้ยงที่เหมาะสม
ไซบีเรียน ฮัสกี ไม่ใช่สายพันธุ์ที่เหมาะกับทุกคน แต่จะเหมาะสำหรับคนที่เตรียมที่จะให้ ทุก
สิ่งทุกอย่างเท่าที่สายพันธุ์นี้ต้องทั้งการออกกำลังกาย และมิตรภาพ ผู้เป็นเจ้าของ ไซบีเรียน
จะได้ประสบการณ์ที่ดีกลับคืนเป็นรางวัลที่ล่ำค้า
โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ (Golden Retriever) ดูจากสีขนที่เหลืองเป็นสีทองไปทั้งตัว ประกอบกับใบหน้ากว้างและดูปราดเปรียวแล้ว ลักษณะทุกอย่างของสุนัขพันธุ์นี้ส่อให้เห็นถึงท่าทีอันสุภาพเป็นมิตร สุนัขพันธุ์นี้จึงเป็นที่นิยมไปทั่วทุกมุมโลก รูปร่างอันงดงามของโกลเด้น รีทรีฟเวอร์นั้นใช่ว่าจะสวยแต่รูปก็หาไม่ ความสามารถของมันนั้นไม่เบา ไม่แพ้พันธุ์เก็บนกชนิดอื่นๆ หรือพวกพันธุ์สแปเนี่ยลตัวเป้งๆ ในระหว่างฤดูหนาวของแคนาดาซึ่งหนาวใช่ย่อย มันก็ยังลุยเก็บนกเป็ดน้ำได้อย่างสบาย โกลเด้น รีทรีฟเวอร์เป็นสุนัขขนาดใหญ่ที่มีความคล่องตัวสูง เป็นสุนัขที่มีความเฉลียวฉลาดมากมากจนสามารถนำมาฝึกเพื่อใช้งานได้ เนื่องจากเป็นสุนัขที่มีขนาดไม่เล็กหรือไม่ใหญ่จนเกินไป จัดว่าเป็นสุนัขที่มีประสาทสัมผัสดีเลิศทั้งในด้านของการฟังเสียง การดมกลิ่นสะกดรอย นอกจากนี้ยังมีสายตาอันเฉียบคมและแม่นยำ ด้วยเหตุนี้วงการทหารและตำรวจในหลายๆ ประเทศจึงได้นำสุนัขพันธุ์นี้มาฝึกเพื่อไว้ช่วยงานราชการ อาทิเช่น ตรวจค้นยาเสพติด, ดมกลิ่นสะกดรอยคนร้าย, ยามรักษาความปลอดภัย แต่ที่ดูเหมือนจะได้รับความนิยมสูงสุด ก็เห็นจะได้แก่ฝึกให้เป็นสุนัขนำทางคนตาบอด ทั้งนี้เพราะโกลเด้น รีทรีฟเวอร์เป็นสุนัขซึ่งฉลาด แต่ไม่ค่อยเจ้าเล่ห์หรือซุกซนเหมือนสุนัขบางพันธุ์ เจ้าสีทองพันธุ์นี้ปรากฏขึ้นในลักษณะที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ในเมืองอังกฤษในทศวรรษที่ 1860 เป็นสุนัขที่พัฒนาสายพันธุ์มาจากสุนัขในกลุ่มสแปเนี่ยล ซึ่งเป็นสุนัขที่มีความเชี่ยวชาญทางน้ำเป็นพิเศษ โดยมีขนาดเล็กกว่าสุนัขพันธุ์นิวฟาวน์แลนด์ แต่มีลักษณะโครงสร้างที่คล้ายคลึงกัน สันนิษฐานว่าอาจผสมข้ามพันธุ์มาจากสุนัขพันธุ์ไอริชเซทเทอร์ และสุนัขในกลุ่มวอเตอร์สแปเนี่ยล โดยอาจมีสายเลือดของสุนัขพันธุ์บลัดฮาวน์เข้าไปเจือปนอยู่ด้วย ต่อมาในปลายศตวรรษที่ 19 สุนัขพันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์หรือที่บางคนเรียก เยลโล่ รีทรีฟเวอร์ ( YELLOW RETRIEVER ) ก็เป็นที่รู้จักและนิยมเลี้ยงกันแพร่หลายในประเทศอังกฤษ จนในปี ค.ศ. 1908 ก็ได้จัดให้มีการประกวดสุนัขพันธุ์นี้ขึ้นเป็นครั้งแรกที่คริสตัลพาเลซ และหลังจากนั้นไม่นานก็ได้มีการจัดตั้งชมรมสุนัขพันธุ์นี้ขึ้นมาโดยเฉพาะ สำหรับในสหรัฐอเมริกา โกลเด้น รีทรีฟเวอร์เริ่มเป็นที่นิยมเลี้ยงกันแพร่หลายในราวปี ค.ศ. 1930 เป็นต้นมา โดยชาวอเมริกันส่วนใหญ่จะเลี้ยงโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ไว้เพื่อเป็นนักล่า แม้ทางสมาคม AKC ของสหรัฐอเมริกาจะให้การรับรองสุนัขพันธุ์นี้เข้าไว้ในทำเนียบตั้งแต่ปี ค.ศ. 1925 แล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ค่อยได้รับจากผู้เลี้ยงที่คิดอยากจะส่งสุนัขเข้าประกวดซักเท่าไหร่ เนื่องจากผู้เลี้ยงสุนัขพันธุ์นี้ส่วนใหญ่ให้ความสนใจกับประสิทธิภาพของการใช้งานมากกว่าการประกวด และในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1977 ทางสมาคม AKC ก็ได้จัดให้มีการประกวดความสามารถและความฉลาดแสนรู้ของสุนัข ซึ่งผลปรากฏว่าสุนัขที่ได้รางวัลที่ 1-3 ล้วนเป็นสุนัขพันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ทั้งสิ้น จากผลการประกวดในครั้งนั้นทำให้ชาวอเมริกันเริ่มเกิดความตื่นตัว และหันมาให้ความสนใจเลี้ยงสุนัขพันธุ์นี้มากขึ้น สำหรับในด้านของสายพันธุ์ ในยุคสมัยแรกๆ โกลเด้น รีทรีฟเวอร์จะมีสีเฉพาะสีทองหรือสีน้ำตาลออกไปทางเหลือง ( ซึ่งก็มีด้วยกันหลายเฉด ) แต่พอมาในช่วงหลังๆ ก็ได้เกิดสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งมีขนสีน้ำตาลเข้มหรือน้ำตาลไหม้ ซึ่งสีนี้ก็เป็นสีที่นิยมมากพอสมควรทั้งในยุโรปและอเมริกา เนื่องจากเป็นสีที่แปลกใหม
บีเกิ้ล (Beagle) เป็นสุนัขมีถิ่นกำเนิดในประเทศอังกฤษ จัดอยู่ในจำพวกกลุ่มสุนัขล่าเนื้อ(Hound) มีขนสั้นและหูปรก เป็นสุนัขที่มีประสาทด้านการดมกลิ่นเป็นเลิศ (scent hounds) ถูกพัฒนาสายพันธ์ขึ้นมาคเพื่อเป็นผู้ช่วยมนุษย์ ในกีฬาการล่าต่างๆ โดยเฉพาะการล่ากระต่าย เนื่องจากบีเกิ้ลมีประสาทด้านการดมกลิ่นที่ไวมาก จึงได้มีการฝึกให้เป็นสุนัขตรวจสอบของผิดกฎหมาย อย่างเช่น ยาเสพติด วัตถุระเบิด ฯลฯ
ขณะเดียวกันบีเกิ้ลก็ได้รับความนิยมในฐานะสัตว์เลี้ยงด้วยเช่นกัน เนื่องจากมีขนาดตัวที่พอเหมาะ เป็นสุนัขอารมณ์ดี และสุขภาพแข็งแรงออกแนวอึด ทนทานต่อโรค ด้วยคุณสมบัตินี้เอง บีเกิ้ลยังถูกใช้ในงานวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวกับสัตว์อีกด้วย ทั้งนี้ สุนัขสายพันธุ์บีเกิ้ลมีมากว่า 2,000 ปีแล้ว และมีชื่อเสียงมากในยุคของพระนางอลิซาเบท (Elizabethan era) ซึ่งปรากฏในงานวรรณกรรม จิตรกรรม ภาพยนตร์ โทรทัศน์ และหนังสือการ์ตูนเรื่องสนู๊ปปี้ (Snoopy ซึ่งสนู๊ปปี้ถือป็นบีเกิ้ลที่มีชื่อเสียงมากที่สุดตัวหนึ่งของโลก
ในปี ค.ศ.1985 ได้มีการทำการศึกษาบีเกิ้ล พร้อมกับสุนัขพันธุ์อื่นๆ อย่าง ยอคเชียร์ เทอเรีย(Yorkshire Terrier) เคนท์ เทอเรีย (Cairn Terrier) เวส ไฮด์แลนด์ ไวท์ เทอเรีย (West Highland White Terrier) ฟอกซ์ เทอเรีย(Fox Terrier) ซึ่งผลออกมาว่า บีเกิ้ลเป็นสุนัขที่ฉลาด และเป็นสายพันธุ์ที่ถูกพัฒนามาด้วยจุดประสงค์เดียว คือให้เป็นนักล่ามาเป็นเวลานาน จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ฝึกค่อนข้างยาก โดยทั่วไปเมื่อมันรับคำสั่งแล้ว จะสั่งยกเลิกได้ยาก และเมื่อมันจดจำกลิ่นหนึ่งได้ มักจะถูกกลิ่นอื่นรอบตัวเบี่ยงเบนความสนใจได้ง่าย พวกมันจะไม่ค่อยยอมรับคำสั่งทั่วๆ ไป แต่ก็มีการตอบสนองต่ออาหารที่ดี มีความตื่นตัวสูง ช่างประจบ ในทางกลับกันก็เป็นสุนัขที่เบื่อง่าย ปัจจุบันบีเกิ้ล ได้รับการเลือกเป็นหนึ่งในสุนัขดมกลิ่น ที่ใช้ตรวจสอบหาวัตถุต้องสงสัย ในงานด้านความมั่นคง และทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ (Beagle Brigade) บีเกิ้ลกับบทบาทด้านความมั่นคงในการตรวจสอบตามสนามบิน ซึ่งในปีหนึ่งๆ สามารถช่วยเจ้าหน้าที่ตรวจพบวัตถุผิดกฎหมาย ได้ถึง 75,000 รายการต่อปี อีกเหตุผลหนึ่งที่บีเกิ้ลได้รับเลือกในหน้าที่นี้ เพราะว่าบีเกิ้ลมีขนาดตัวที่ค่อนข้างเล็ก สามารถเข้าไปตรวจได้แม้กระทั่งคนที่ค่อนข้างกลัวสุนัข ดูแลง่าย ฉลาด และมันทำงานเต็มที่เพื่อรางวัล ซึ่งในหลายประเทศก็ได้มีการ ใช้งานบีเกิ้ลในลักษณะนี้อย่างกว้างขวาง ส่วนสุนัขดมกลิ่นขนาดใหญ่ ก็จะใช้ในงานค้นหาวัตถุระเบิดโดยเฉพาะ และงานที่จำเป็นต้องปีนป่ายเพื่อเข้าไปตรวจสอบ ซึ่งบีเกิ้ลไม่ค่อยเหมาะกับหน้าที่ลักษณะนั้น
ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทั่วไป
บีเกิ้ลเป็นสุนัขที่สุภาพ พวกมันค่อนข้างเป็นมิตร ไม่ดุร้ายเกินไปหรือเฉื่อยชาเกินไป ชอบอยู่กันเป็นกลุ่ม แต่มันก็เชื่องคนง่ายเกินจึงไม่เหมาะที่จะเป็นสุนัขเฝ้าบ้าน ทว่ามันยังคงเห่าหรือหอนบ้าง เมื่อเผชิญหน้ากับคนแปลกหน้า
นอกจากนี้ บีเกิ้ลยังเป็นสุนัขที่เหมาะกับเด็กๆ เข้ากับเด็กๆ ในบ้านดีๆ ไม่พบประวัติการทำร้ายเด็ก บีเกิ้ลจึงเป็นสุนัขที่นิยมเลี้ยงกันในครอบครัว และบีเกิ้ลยังเข้ากับสุนัขสายพันธุ์อื่นได้ง่าย พวกมันแข็งแรงมาก จึงวิ่งเล่นได้นานโดยที่ไม่เหนื่อยง่ายๆ อย่างไรก็ตาม โดยธรรมชาติพวกมันเป็นสุนัขที่อยู่เป็นฝูง เวลานำไปเลี้ยงเดี่ยวจึงอาจเกิดอาการซึมเศร้าได้ และแม้ว่าบีเกิ้ลจะมีพลังเห่าหอนอันรุนแรง แต่ไม่ใช่บีเกิ้ลทุกตัวที่จะหอน แต่ส่วนมากจะเห่าเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งบางตัวจะเห่าหรือหอน เมื่อรับรู้ถึงกลิ่นใดกลิ่นหนึ่งโดยเฉพาะ
เนื่องจากความต้องการถ่ายเลือดในการรักษาแต่ละครั้ง แต่ละปีมีปริมาณมาก อีกทั้งการขาดแคลนเลือดสำรองในกรณีฉุกเฉินหรือการผ่าตัดต่างๆ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญอันทำให้ธนาคารเลือดสุนัขเกิดขึ้นเป็นรูปธรรม นอกจากนี้สำหรับเลือดที่ได้มาแล้ว จำเป็นต้องมีกระบวนการจัดเก็บที่มีประสิทธิภาพ ด้วยเลือดทุกหยดมีคุณค่า เราจึงต้องจัดเก็บอย่างดี ต้องทำการแยกและจัดเก็บเลือดไว้ให้นาน เพื่อที่จะสามารถสร้างประโยชน์ได้มากกว่าการถ่ายเลือดเพียงหนึ่งครั้ง จากจุดเริ่มต้นของความตั้งใจที่จะก่อตั้ง "ธนาคารเลือดสุนัข" จึงก่อตั้งมาได้ร่วมสองปีแล้ว หากแต่ความต้องการเลือดกลับไม่มีที่สิ้นสุด ในทุกปีที่ผ่านมาเราจึงต้องขอบริจากเลือดอยู่ตลอด เพราะว่าการผ่าตัดในบางครั้งสุนัขที่ทำการผ่าตัดเสียเลือดมาก หรือกรณีอุบัติเหตุ โรคพยาธิในเม็ดเลือดอย่างรุนแรงก็จำเป็นที่จะต้องมีเลือดที่จะรองรับในจุดนี้ด้วย
ถามมา
โทษหรืออันตรายจากการให้เลือดมีหรือไม่?
ตอบไป
ไม่มี เพราะทางโรงพยาบาล มีมาตรการต่างๆ เพื่อความปลอดภัยของสุนัข ผู้มาบริจาคเลือด เช่น ตรวจสุขภาพก่อนเก็บเลือดทุกครั้ง และการให้ยาซึมก็ไม่มีผลใดๆ ต่อสัตว์ และการบริจาคเลือดกลับเป็นการสร้างประโยชน์ให้แก่สัตว์ที่มาอีกทางหนึ่ง เพราะเท่ากับเป็นการถ่ายเลือดเก่าออกไปและทำให้เกิดการสร้างเม็ดเลือดใหม่ขึ้นมา
ถามมา
กลุ่มเลือดของสุนัขเป็นอย่างไร และแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่?
ตอบไป
ค กรุ๊ปเลือดของสุนัขมีทั้งหมด 8 กรุ๊ป คือ DEA1.1, DEA 1.2, DEA 3 , DEA 4 , DEA 5, DEA 6, DEA 7, DEA 8. ต่างจากมนุษย์คือ สุนัขจะไม่มี Antibody ในน้ำเลือด (Plasma) แต่จะมีสารเคลือบผิวเม็ดเลือด Antigen สำหรับหมู่เลือด DEA 1.1 , 1.2. ไม่สามารถเป็นผู้บริจาคเลือดได้แต่สามารถรับเลือดได้คล้ายกลุ่ม AB ในมนุษย์ส่วนกรุ๊ปเลือดอื่นๆ สามารถเป็นผู้บริจาคเลือดหรือรับเลือดกันได้ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นกรุ๊ปเลือดเดียวกัน แต่จะต้องมีการตรวจเลือดว่าเข้ากันได้หรือไม่ ส่วนกลุ่มที่สามารถบริจาคโลหิตให้กับทุกกลุ่มเลือด "(Universal dohor) คือกลุ่ม DEA 4"
ประโยชน์ของเลือด
ใช้ในการผ่าตัด ที่มีภาวะเสียเลือดมากๆ เช่น ตัดม้าม, ตัดตับ, ตัดไต, การตัดก้อนเนื้อในช่องท้อง
ในกรณีสัตว์จำเป็นต้องผ่าตัด แต่สภาพสัตว์ป่วยหนัก หรือไม่พร้อมสำหรับการผ่าตัด เช่น โลหิตจาง ,หรือมีปัญหาการแข่งตัวของเลือด
- ใช้ช่วยชีวิตสัตว์ที่ได้รับยาเบื่อหนูกลุ่ม Wafarin เนื่องจากเลือดจะไหลไม่หยุด (ยาเบื่อจะไปยับยั้งสารที่ช่วยการแข่งตัวของเลือด) ถ้าจะมียาแก้พิษ แต่ก็จำเป็นต้องใช้พลาสมาแช่แข็งเพื่อช่วยชีวิต
- ภาวะสัตว์ที่กำลังช็อก เนื่องจากขาดเลือด, ขาดโปรตีนอย่างรุนแรง
- ในกรณีที่เป็นพยาธิเม็ดเลือดอย่างรุนแรง หรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาวางยา จำเป็นที่ต้องใช้เลือดเพื่อพยุงร่างกายสัตว์ให้สามารถทำการรักษาต่อ
- ใช้รักษาโรคทางกรรมพันธุ์ บางอย่างซึ่งทำให้เกิดเลือดไหลไม่หยุดเช่น Hemophillia a, Hemophillia b, von eilihamd dio
- ใช้รักษาสภาวะที่สัตว์มีภาวะขาดอาหารอย่างรุนแรงโดยเฉพาะในลูกสัตว์
-ใช้รักษาสัตว์ในสภาวะฉุกเฉินที่มีภาวะเลือดออกในอวัยวะภายใน เช่นในช่องท้อง หรือในช่วงอก อาจพัฒนาทำเป็น Hyper immune seum ในกรณีลูกสัตว์ที่ป่วยเป็นโรคทางไวรัสเช่น สำไส้อักเสบ , ไข้หัด
เพราะเหตุใดสุนัขจึงต้องมีการให้เลือด
--------------------------------------------------------------------------------
สุนัขอาจจะมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการได้รับการให้เลือดด้วยเหตุผลหลายๆ ประการ เลือดของสุนัขก็คล้ายกับเลือดของมนุษย์คือ ประกอบด้วยเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือดและน้ำเลือด และเลือดที่ได้รับบริจาคจากสุนัขก็สามารถแยกออกเป็นส่วนประกอบต่างๆ ด้งที่กล่าวไปแล้วด้วยเหมือนกัน เพื่อการใช้งานตามวัตถุประสงค์ความต้องการของสุนัขป่วยที่ต้องการที่จำเพาะและก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดของเลือดที่ได้รับบริจาคสุนัข แต่โดยทั่วไปสุนัขที่ต้องการเลือดมักจะต้องการเม็ดเลือดแดง หรือน้ำเลือดมากที่สุด
การให้เลือด หรือเม็ดเลือดแดงมักจะใช้กรณีเพื่อการรักษาโรคโลหิตจาง (anemia) นอกจากนี้แล้วสุนัขอาจจะต้องการเลือดในกรณีที่ได้รับอุบัติเหตุ หรือกรณีทำการผ่าตัดศัลยกรรม หรือกรณีที่สัตว์ป่วยไม่สามารถสร้างเม็ดเลือดแดงได้ หรือกรณีที่เม็ดเลือดแดงในร่างกายถูกทำลายอย่างรุนแรง (จากโรค เช่น พยาธิในเม็ดเลือดแดง เป็นต้น)
สำหรับน้ำเลือด (plasma) ประกอบด้วยโปรตีน หรือเอนไซม์ต่างๆ ซึ่งมีความสำคัญเกี่ยวกับการทำให้เลือดมีการแข็งตัว (clot) มักมีความจำเป็นสำหรับการรักษาภาวะเลือดออก (bleeding) อันเนื่องมาจากโรคตับ หรือกรณีที่เกิดเลือดออกจากการได้รับสารหนู (rodent poison) นอกจากนี้น้ำเลือดยังมีความจำเป็นสำหรับสุนัขป่วยที่มีระดับโปรตีน หรืออัลบูมินในเลือดต่ำ ส่วนประกอบอื่นๆ ของน้ำเลือด เช่น cryoprecipitate จะใช้สำหรับการรักษาโรคเลือดไหลไม่หยุด (hemophillia) หรือโรคอื่นๆที่เกี่ยวกับปัญหาภาวะเลือดออกไม่หยุดอันเนื่องมาจากพันธุกรรม
สุนัขที่บริจาคเลือดมาจากไหน
--------------------------------------------------------------------------------
เลือดในธนาคารเลือด ณ โรงพยาบาลสัตว์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ได้รับมาจากสุนัขที่มาบริจาคเลือด มีสุนัขหลายพันธุ์ที่มาให้เลือดเป็นประจำ (ซึ่งมีปรากฎในหน้าสุนัขใจบุญครับ/ค่ะ) โดยผู้นำสุนัขมาบริจาคเลือดให้มาติดต่อหน่วยงานประชาสัมพันธ์โรงพยาบาลสัตว์ บางเขน ติดกรมป่าไม้ ่จากนั้นจะมีการตรวจร่างกาย ถ้าไม่มีปัญหาใดๆ การเก็บเลือดก็จะเกิดขึ้น ณ ห้องปฏิบัติการธนาคารเลือด ชั้น 3 อาคารโรงพยาบาลสัตว์ 9 ชั้น หรือตึกเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา สุนัขที่บริจาคเลือดจะไม่ได้รับความเจ็บปวดใดๆ จากการบริจาคเลือด การเก็บเลือดจะใช้ระยะเลาประมาณ 5-15 นาที ขั้นตอนต่างๆจะมีความคล้ายคลึงกับกระบวนการในธนาคารเลือดของคน
เลือดที่ได้รับบริจาคจากสุนัขปลอดภัยหรือไม่
สุนัขที่มาบริจาคเลือดจะได้รับการตรวจกรอง (screened) โรคที่สามารถติดต่อกันได้ทางเลือด เพื่อเป็นหลักประกันว่าสุนัขที่เข้าสู่กระบวนการบริจาคเลือดมีสุขภาพดี โดยปกติแล้วเราจะรับสุนัขที่มีหมู่เลือดในกลุ่ม "universal blood type" หรือสุนัขที่มีหมู่เลือดที่สามารถเข้ากับหมู่เลือดอื่นๆได้ทั้งหมด ถ้าเปรียบเทียบกันในคนก็คือคนหมู่เลือดโอ เท่านั้น เพื่อลดความเสี่ยงปฏิกิริยาทางเคมีของการเข้ากันไม่ได้ของหมู่เลือดจากการให้เลือด แต่เนื่องจากเราไม่สามารถเลือกสุนัขที่มาบริจาคได้ การรับบริจาคจึงไม่จำกัด เพียงแต่ก่อนการให้เลือดจะต้องมีตรวจการเข้ากันได้ของหมู่เลือดเท่านั้นเอง เลือดที่เก็บจากสุนัขใจบุญจะถูกเก็บไว้ในถุงพลาสติกที่ปราศจากเชื้อโรค ขั้นตอนการเก็บและรักษาจะทำให้เลือดปราศจากการปนเปื้อนเชื้อโรคและเก็บไว้ในตู้เก็บเลือดเช่นเดียวกับธนาคารเลือดของคน โดยปกติเลือดที่ได้รับบริจาคมีการกำหนดวันหมดอายุปรากฎอยู่และทำลายเมื่อหมดอายุ แต่เนื่องจากความต้องการเลือดยังมีอยู่มาก เลือดจึงยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ
เขาให้เลือดกับสุนัขกันอย่างไร ก่อนการให้เลือด หรือองค์ประกอบของเลือดอื่นๆกับสุนัข สัตวแพทย์จะทำการตรวจการเข้ากันได้ของหมู่เลือด (crossmatch) เสียก่อน เพื่อความมั่นใจว่า เลือดที่จะให้กับสุนัขไม่มีปฏิกิริยาต่อสุนัขที่ได้รับเลือด เลือดจะถูกถ่ายให้กับสุนัขที่ต้องการเลือดด้วยการให้ทางสายยางผ่านเข้าหลอดโลหิตดำ (ในลักษณะเดียวกับการให้สารน้ำผ่านทางหลอดเลือดดำ) อย่างช้าๆ อัตราเร็วของการให้และปริมาณเลือดที่จะให้กับสุนัขจะขึ้นอยู่กับความจำเป็น ความต้องการและขนาดของสุนัข
สุนัขของฉัน/ผมมีความเสี่ยงต่อการรับเลือดหรือไม่
เลือดที่ได้จากการบริจาคจะเป็นเลือดที่มาจากสุนัขที่มีสุขภาพดี ก่อนการให้เลือดกับสุนัขตัวรับเลือดจะได้รับการตรวจถึงความเข้ากันได้ของหมู่เลือด ดังนั้นความเสี่ยงต่อการให้เลือดจึงมีน้อยมาก แต่สุนัขบางตัวเมื่อได้รับเลือดแล้วอาจจะมีไข้เกิดขึ้นได้ หรืออาจจะพบว่าหน้าบวมเล็กน้อย (mild facial swelling) ในระหว่าง หรือหลังการให้เลือดก็ได้ ภาวะนี้สัตวแพทย์สามารถแก้ไขได้ สุนัขที่ป่วยด้วยโรคที่ค่อนข้างรุนแรงและต้องได้รับการให้เลือดซ้ำอาจจะพัฒนาปฏิกิริยาการตอบสนองต่อการได้รับเลือดได้
ภาวะของสุนัขที่จำเป็นต้องรับเลือด
-ใช้ในการผ่าตัดที่มีภาวะเสียเลือดมาก ๆ เช่น การตัดม้าม, ตัดตับ, ตัดไต หรือการผ่าตัดใหญ่อื่น ๆ
-ในกรณีสัตว์จำเป็นต้องผ่าตัด แต่สภาพสัตว์ป่วยหนักหรือไม่พร้อมสำหรับการผ่าตัด เช่น เป็นโรคโลหิตจาง หรือมีปัญหาการแข็งตัวของเลือด
-ใช้ช่วยชีวิตสัตว์ที่ได้รับยาเบื่อหนู กลุ่ม Warfarin เนื่องจากเลือดจะไหลไม่หยุด (ยาเบื่อจะไปยับยั้งสารที่ช่วยในการแข็งตัวของเลือด) ถึงจะมียาแก้พิษแต่ก็ต้องใช้พลาสมาแช่แข็ง ควบคู่กันเพื่อช่วยชีวิต แต่ในกรณีวิกฤตจำเป็นต้องใช้พลาสมาแช่แข็งเพื่อช่วยชีวิต
-ภาวะสัตว์ที่กำลังช็อก เนื่องจากขาดเลือด, ขาดโปรตีนอย่างรุนแรง
-ในกรณีที่เป็นพยาธิเม็ดเลือดอย่างรุนแรง หรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาทางยา จำเป็นต้องใช้เลือดเพื่อพยุงร่างกายสัตว์ให้สามารถทำการรักษาต่อได้
-ใช้รักษาโรคทางกรรมพันธุ์บางอย่าง ซึ่งทำให้เกิดอาการเลือดไหลไม่หยุด เช่น Hemophilia a, Hemophilia b, von willebrand disease
-ใช้รักษาสัตว์ที่มีภาวะขาดอาหารอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในลูกสุนัข
-ใช้รักษาสัตว์ในภาวะฉุกเฉินที่มีเลือดออกใน อวัยวะภายใน เช่น ในช่องท้องหรือในช่องอก อาจพัฒนาทำเป็น Hyper immune seum ในกรณี ลูกสัตว์ที่ป่วยเป็นโรคไวรัส เช่น ลำไส้อักเสบ,ไข้หัด
คุณสมบัติของสุนัขที่สามารถบริจาคเลือดได้+ อายุสุนัขควรอยู่ระหว่าง 1 - 6 ปี ไม่จำกัดเพศ พันธุ์ (ถ้าเป็นเพศเมียต้องรอให้หมดประจำเดือนก่อน)
+ มีน้ำหนักไม่น้อยกว่า 20 กิโลกรัม
+ มีประวัติการทำวัคซีน ได้แก่ป้องกันวัคซีนรวม เช่น ลำไส้อักเสบ, ไข้หัด, ตับอักเสบ, เลปโตสไปโรซีส วัคซีนพิษสุนัขบ้า โรคพยาธิหนอนหัวใจ
+ ไม่มีประวัติของโรคพยาธิในเม็ดเลือด
+ ไม่เคยรับการผ่าตัดใหญ่ในระยะ 1 - 2 เดือน ก่อนบริจาคโลหิต
+ สุนัขมีสุขภาพแข็งแรง
หากสุนัขของคุณมีคุณสมบัติครบถ้วน ก่อนถึงวันนัดบริจาคโลหิตควรงดน้ำและอาหาร เพื่อความปลอดภัยในการให้ยาซึม และเมื่อท่านนำสุนัขมาบริจาคโลหิตให้กับทางโรงพยาบาลสัตว์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้ จะมีวิธีการดังนี้
วิธีการในการบริจาคเลือด
+ นำสุนัขมาตรวจเช็คสุขภาพและตรวจเลือดกับสัตวแพทย์ ในกรณีที่ผลตรวจเลือดผิดปกติทางโรงพยาบาลจะแจ้งให้ทราบทันที
+ เมื่อตรวจเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะเจาะเก็บเลือดสัตวแพทย์จะทำการให้ยาซึม เพื่อป้องกันสุนัขดิ้นระหว่างการทำการเจาะเลือด เนื่องจากบริเวณที่ใช้ในการเจาะเลือดคือบริเวณลำคอ ถ้าสุนัขดิ้นอาจเกิดอันตรายได้การวางยาซึมนี้จะไม่มีผลข้างเคียงใดๆ หากแต่สุนัขจะมีอาการง่วงซึมเท่านั้น
+ ในการบริจาค 1 ครั้ง จะเก็บเลือดปริมาณ 1 Unit หรือ 350 ซีซี ซึ่งโดยปกติความสามารถในการให้เลือดจะอยู่ระหว่าง 10 -20 ซีซี ต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัม และความถี่ในการบริจาคเลือดทุกๆ 4 - 6 เดือน
+ เมื่อสามารถเก็บผลเลือดได้ตามความต้องการแล้ว สัตวแพทย์จะให้ยาบำรุงเลือดพร้อมบัตรประจำตัวผู้บริจาคเลือด โดยการบริจาคจะไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
ไปเจอมาจากเวปผู้จัดการ เลยเอามาฝากกันค่ะ http://www.manager.co.th
อาหารเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้สุนัขของคุณมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง และมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ มีอายุยืนยาว ดังนั้นการให้อาหารแก่สุนัข ผู้เสี้ยงจึงจำเป็นต้องพิถีพิถันอยู่บ้าง ผู้เลี้ยงหลายคนนิยมให้อาหารสำเร็จรูป เพราะสะดวกสบายไม่ต้องเสียเวลาในการเตรียมอาหารสดให้ยุ่งยาก
เพราะกว่าจะครบถ้วนด้วยสารอาหารก็จะต้องมีทั้ง ข้าว ตับ และผัก การใช้อาหารเม็ด หรืออาหารกระป๋องดูจะง่ายและให้สารอาหารแก่สุนัขอย่างครบถ้วนมากกว่า อีกทั้งอุจจาระของสุนัขยังแข็งเป็นก้อนง่ายต่อการเก็บทำความสะอาดอีกด้วยแต่ก็มีผู้เลี้ยงบางกลุ่มนิยมให้อาหารสุนัขตามแต่ความต้องการของตนเอง โดยผู้เลี้ยงเข้าใจผิดว่า สุนัขมีความต้องการ และความสามารถในการกินได้เช่นเดียวกับคน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นความคิดที่ผิด อาหารที่คุณให้อาจย้อนกลับมาทำอันตรายถึงชีวิตแก่สุนัขแสนรักของคุณได้ อาหารต้องห้าม 3 อย่างของสุนัข ที่ผู้เลี้ยงควรหลีกเลี่ยงไม่นำมาให้สุนัขกินได้แก่
กระดูกไก่ ปลา
หากไม่จำเป็นคุณไม่ควรให้กระดูกไก่ ปลา ให้เจ้าสุนัขของคุณกินโดยเด็ดขาด แม้ว่าเจ้าสุนัขของคุณจะชื่นชอบอาหารเหล่านี้เพียงใด
เพราะ กระดูกไก่ ก้างปลา อาจแตกหักระหว่างที่สุนัขขบเคี้ยวสร้างมุมแหลม และความแหลมนี่เองอาจทิ่มแทงทำอันตรายสุนัขของคุณได้ ผู้เลี้ยงหลายคนให้เหตุผลในการให้อาหารเหล่านี้แก่สุนัขว่า
ต้องการให้แคลเซียมแก่สุนัข ซึ่งความจริงแล้วผู้เลี้ยงสามารถให้เม็ดแคลเซียม หรือนมอุ่นๆแก่สุนัขแทนได้
ทั้งนี้หมายรวมถึงอาหารที่มีลักษณะเป็นของมีคมขนาดเล็กอื่นๆ เช่น ส่วนหางของกุ้ง เพื่อนของผู้เขียนเคยสูญเสียสุนัขจากกรณีดังกล่าวมาแล้ว
เนื่องจากไปเที่ยวทะเลซื้ออาหารทะเลมารับประทานที่บ้าน พอเหลือก็นำมาให้สุนัขกินอย่างไม่รู้เท่าทัน ผลปรากฏว่าสุนัขกินส่วนหางของกุ้งเข้าไปติดคอเสียชีวิต
หัวหอมและกระเทียมไม่ควรให้สุนัขรับประทานในปริมาณมาก เพราะหัวหอมและกระเทียม มีส่วนประกอบของกำมะถันอยู่มาก
เพราะฉะนั้นไม่เหมาะแก่การผสมในอาหารให้กับเจ้าตูบ เนื่องจากว่า สารกำมะถันนี้จะทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดงของเจ้าสุนัข
จะทำให้โรคโลหิตจาง และโรคเลือดไหลไม่หยุดได้
ช็อคโกแล็ต
หลายคนเคยให้ช็อคโกแล็ตกับสัตว์เลี้ยงของท่าน โดยไม่รู้ว่าช็อคโกแล็ตเหล่านี้ส่งผลร้ายต่อสุนัข
สาเหตุเพราะช็อคโกแล็ตมีส่วนประกอบของสารชนิดหนึ่งชื่อว่า theobromine
ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับ สารพวก caffeine(ซึ่งมีในพวกกาแฟ โกโก้) สาร theobromine นี้เมื่ออยู่ในร่างกายมันจะมีฤทธิ์หลายอย่าง
แต่ที่เห็นเด่นๆชัด คือ จะกรตุ้นให้มีการหลั่งสารที่เรียกกันว่า adrenaline ซึ่งสารตัวนี้จะมีผลทำให้หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออกมาก
ถ้ากินมากๆอาจถึงขั้นเป็นพิษได้จะทำให้เกิด อาการ อาเจียน ท้องเสีย หายใจถี่ ฉี่บ่อย กระวนกระวาย และในที่สุดก็ถึงตายได้
มีรายงานในสุนัขบอกว่า ในสุนัขที่น้ำหนักไม่เกิน 5 กก. กินเข้าไปแค่ 400 มก.
ก็สามารถแสดงความเป็นพิษได้ การที่สุนัขค่อนข้างจะไวต่อความเป็นพิษของ theobromineนั้นเป็นเพราะว่า
ร่างกายของมันไม่สามารถที่จะกำจัด theobromine ออกจากร่างกายได้รวดเร็วเหมือนกับสัตว์ชนิดอื่น ตามปกติช็อคโกแลตที่ขายในท้องตลาด
ถ้าเป็นแบบหวานจะมี theobromine อยู่ประมาณ 1.5 มก ต่อ ซีซี แต่ถ้าเป็นแบบไม่หวานจะมีประมาณ 13 มก. ต่อ ซีซี
เพิ่มเติมอีกนึด อันนี้ได้มาจากบอร์ดยอร์คค่ะ ไม่แน่ใจว่าทราบกันหรือยังเลยก๊อบมาฝากน่าจะเป็นประโยชน์กะสมาชิกที่นี่มั่ง
1. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ทำให้เกิดอาการได้รับสารพิษมากเกินไป เข้าขั้นโคม่าและตายได้
2.อาหารทารกสำเร็จรูป
มักมีส่วนผสมของหัวหอมที่เป็นพิษกับสุนัข และถ้ากินมากๆ อาจอยู่ในภาวะขาดสารอาหารได้
3.ก้างปลา กระดูกต่างๆ
อาจทำให้ติดคอหรือบาดกระเพาะอาหารเป็นแผลได้
4. ชา กาแฟ เครื่องดื่มคาเฟอีนและ ช็อกโกเเลต
เป็นพิษกับหัวใจและระบบประสาท
5.น้ำมันสกัดจากผลไม้ชนิดส้ม
ทำให้เกิดการอาเจียน
6.องุ่นและลูกเกด
ทำให้เกิดผลเสียกับไต
7.วิตามิน(ของคน)ที่มีธาตุเหล็ก
ทำลายเนื้อเยื่อของระบบย่อยอาหารและเป็นพิษต่อตับและไต
8.ตับ(ในปริมาณมาก)
ทำให้เกิดวิตามินเอเป็นพิษ ส่งผลกับกล้ามเนื้อและกระดูก
9.ถั่วแมคคาเดเมีย
มีสารพิษที่เป็นอันตรายต่อระบบย่อยอาหาร ระบบประสาท และกล้ามเนื้อ
10.นมและผลิตภัณฑ์จากนม
สุนัขส่วนใหญ่ไม่มีเอนไซม์ใช้ย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมวัวมากพอ ซึ่งจะทำให้เกิดท้องเสีย ควรใช้นมสุนัขที่ไม่มีแลคโตส
11.เห็ด
เห็ดบางชนิดเป็นพิษ ส่งผลต่ออวัยวะหลายส่วน ทำให้ช๊อค และตายได้
12.หัวหอม
มีสาร sulfoxides และ disulfides ซึ่งทำอันตรายต่อเม็ดเลือดแดง
13.ไข่ดิบ
มีสาร Avidin ที่ลดการซึมซับไบโอติน(วิตามินบีชนิดหนึ่ง)และทำให้เกิดผลเสียต ่อขนและผิวหนัง
14.ปลาดิบ
ทำให้เกิดการขาดวิตามินบี Thiamine และไม่อยากอาหาร ชัก หรือในกรณีที่ซีเรียสมากอาจถึงตายได้
15.ของหวาน
ทำให้อ้วนผิดปกติ มีปัญหาโรคในปาก เป็นเบาหวานได้
16.บุหรี่
มีสารนิโคตินที่เป็นอันตรายต่อระบบย่อยอาหารและระบบประสาท หัวใจเต้นเร็ว หมดสติ โคม่า และ ตายได้
17.อาหารแมว
มีโปรตีนและไขมันมากเกินไปสำหรับสุนัข
ผู้เชี่ยวชาญทางด้านพฤติกรรมของสุนัขแยกประเภทและความหมายของเสียงเห่าแต่ละชนิดไว้ดังนี้
เห่าติดต่อกันเป็นชุด ๆ 3-4 ครั้งโดยมีช่วงหยุดระหว่างชุด.......ความหมาย เป็นการเชิญชวนของสุนัขให้ มาดูอะไรที่น่าสนใจตรงนี้กันเถอะ
เห่าเร็ว ๆ ติดต่อกันด้วยโทนเสียงปานกลาง........ความหมาย การเตือนภัยของสุนัขว่า มีสิ่งไม่น่าไว้วาง
ใจใกล้เข้ามา
เห่าด้วยเสียงต่ำ ๆ ติดต่อกันอย่างช้า ๆ ......ความหมาย กำลังมีภัยประชิดตัว
เห่าแล้วหยุด เห่าแล้วหยุด ติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ ..........ความหมาย สุนัขกำลังเหงา
เห่าสั้น ๆ ครั้งสองครั้ง.....ความหมาย การทักทายตามปกติของสุนัข
เห่าครั้งเดียวสั้น ๆ เมื่อคุณหรือสุนัขอีกตัวกำลังยุ่งอยู่กับเขา.............ความหมาย เขากำลังรำคาญและ
พยายามบอกคุณว่า หยุดซะทีเถอะ
ลูกสุนัขเห่าติดต่อกัน.........ความหมาย เป็นการเรียกร้องความสนใจ
เห่าครั้งเดียวสั้น ๆ เป็นการเรียกเจ้าของ...........ความหมาย เขาต้องการขับถ่ายหรือถึงเวลาให้อาหารแล้ว
เห่าติด ๆ กันรัวและดังขึ้นเรื่อย ๆ ..............ความหมาย บ่อบอกถึงความตื่นเต้นสนุกสนานกับอะไรบางอย่าง
ถึงจะพูดภาษาเดียวกันไม่ได้ แต่ก็สื่อใจถึงกันได้ ด้วยภาษากาย ภาษาสายตา มันขึ้นอยู่กับว่าคุณต้องการจะสื่อสารกับเขามากน้อยแค่ไหน ถ้าคุณพยายามทำความเข้าใจใจตัวเขา เรียนรู้เขา สักวันก็จะเป็นเหมือนบทเพลง สองกายหัวใจเดียว
การแสดงออกโดยสีหน้า
การแสดงออกโดยสีหน้าก็คล้ายกับคน เราค่อนข้างจะคุ้นเคยกับภาษาที่สื่อกันชนิดนี้กันอยู่แล้ว อาจแสดงออกทาง
สายตา การแยกเขี้ยว โดยการทำหูลีบไปข้างหลังก็จะแปลความหมายได้ตามสถานการณ์ในขณะนั้น
การดูแลสุนัขขณะตั้งท้องนั้น หลายท่านระวังมากเกินความจำเป็น แทนที่จะเป็นผลดีกลับกลายเป็นเกิดผลเสียต่อแม่และลูก สุนัขด้วยซ้ำไป ต้องท้องนานแค่ไหนกันนะปกติหลังการผสมอสุจิจะมีการฝังตัวอยู่ที่ 3-5 วัน ระยะเวลาการตั้งท้องจะประมาณ 61-65 วัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจำนวนลูกในท้อง ถ้าลูกมากก็จะคลอดเร็วขึ้น ดังนั้นการจดจำวันที่สุนัขผสมจึงเป็นเรื่องจำเป็น สำหรับการนับลูกสุนัขและการทราบกำหนดวันคลอด
อาหารสำหรับสุนัขตั้งท้อง
การสัง เกตุอาการสุนัขที่ตั้งท้องนั้นต้องสังเกตุอากา รอย่างใกล้ชิด อาจดูจากการกินจุมากกว่าเดิม และถ้าไม่แน่ใจอาจปรึกษาแพทย์ หลังจากที่แน่ใจว่าท้องแล้ว อาหารที่ให้ต้องเพิ่มให้เหมาะสมกับช่วงการตั้งท้อง โดยเปลี่ยนมาใช้สูตรสำหรับลูกสุนัข เพราะมีคุณค่าโภชนาการทั้งโปรตีน ไขมัน สูงกว่าสูตรปกติ ควรให้แม่สุนัขกินอาหารสูตรนี้อย่างต่อเนื่องจนลูกสุ นัขหย่านม และในช่วงใกล้คลอดอาจให้เสริมอาหารที่มีกากใยอาหารมา กขึ้นเพื่อลดปัญหาอาการท้องผูกเนื่องจากการขยายตัวขอ งมดลูกที่ดันส่วนลำใส้ใหญ่อาหารเสริมและยาบำรุงจำเป็นหรือไม่นอก เหนือจากอาหารตามปกติแล้ว ต้องเสริมวิตามินและแร่ธาติบางกลุ่มเพิ่มเติมเพราะร่ างการของลูกจะดูดซึมวิตามินแร่ธาตุกลุ่มนี้จากร่างกา ยแม่ ถ้าไม่ให้ทดแทนจะมีผลเสียกับแม่สุนัขอย่างชัดเจนหลัง คลอด คือขนหลุดร่วง สุขภาพทรุดโทรม ไม่มีน้ำนมพอ สิ่งที่ต้องให้เสริมคือ แคลเซียม ฟอสฟอรัส เพราะเป็นแร่ธาติที่นำไปสร้างกระดูด โครงสร้างของลูกและเป็นส่วนประกอบสำคัญของน้ำนม ถ้าสุนัขขาดแร่ธาติดังกล่าว ช่วงให้นมลูกจะมีไข้สูง หอบ ตัวสั่น จนถึงชักเกร็ง ต้องพาไปพบสัตว์แพทย์โดยด่วนเพื่อลดไข้และให้แคลเซีย มทางกระแสเลือด ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะช็อกซึ่งแม่สุนัขอาจตายได ้ ส่วนใหญ่เกิดกับท้องแรกและเจ้าของยังไม่มีประสพการณ์ ปริมาณการให้แคลเซียมไม่ควรให้มากเกินความจำเป็ น ควรจะให้ร่างกายแม่เป็นตัวปรับระดับฮอร์โมนในการใช้แ คลเซียมด้วยยาบำรุงเลือด วิตามินอื่นๆถือว่าจำเป็นด้วยเช่นกันเพียงแต่ให้ปริม าณน้อยๆ ทั้งนี้ควรปรึกษาคำแนะนำจากสัตวแพทย์จะปลอดภัยที่สุด
ควรหลีกเลี่ยงหรือระวังอะไรบ้าง
ควร หลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจทำให้เกิดโรคติดเชื้อ โรคติดต่อที่มาจากสุนัขเอง โดยระวังให้อยู่ห่างจากสุนัขป่วย แม้เชื้อที่มีปริมาณน้อยก็อาจแพร่เชื้อไปยังลูกที่ไม่มีความต้านทานโรคอาจทำให้ตายในท้องได้ ช่วงนี้ถ้าป่วยต้องปรึกษาแพทย์ทุกครั้ง นอกจากนั้นต้องหลีกเลี่ยงการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจส่งผลต่อลูกได้ ส่วนโปรแกรมการฉีดยากันพยาธิหนอนหัวใจต้องเปลี่ยนมาเ ป็นแบบกินแทน การใช้ยากำจัดเห็บหมัดก็ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเนื่องจากบางกลุ่มเป็นยาฆ่าแมลงที่ห้ามใช้กับสัตว์ตั้งท้อง ควรคำนึงถึงความปลอดภัยของลูกสุนัขก่อนเป็นอันดับต้น
สุนัขตั้งท้องอาบน้ำได้ไหมการ
อาบทำได้ตามปกติ แต่ควรตรวจสอบก่อนว่ามีไข้หรือเปล่า และต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะสุนัขท้องแก่ยิ่งต้องระวังมากขึ้น อาจหลีกเลี่ยงโดยใช้วิธีเช็ดตัวแทนได้ หลังจากคลอดแล้วก็จับอาบน้ำได้เลยเพื่อล้างคราบสกปรก น้ำคร่ำที่เลอะตัว
เธออย่ามาดีกับฉันให้มากนัก
ฉันเป็นเพียงสุนัขแค่ตัวหนึ่ง
ที่มีความรักต่อเธออย่างลึกซึ้ง
คอยคำนึงคิดถึงเธอเสมอมา
หากไม่คิดจะรักอย่าดูแล
อย่าแยแสให้อาหารและถามหา
ปล่อยให้ฉันเป็นอย่างฉันอย่างเป็นมา
ยังดีกว่ามาแกล้งทำเป็นมีใจ
มันเจ็บปวดรู้ไหมถ้าถูกทิ้ง
ไร้ทุกสิ่งที่เธอนั้นเคยมีให้
ทำให้ฉันเป็นสุนัขไร้จิตใจ
ที่ไม่มีวันเชื่อใจใครอีกเลย
~สุนัขจรจัด~
วิธีการดูแลสุนัข เบื้องต้นที่เราควรทราบง่ายๆดังนี้
1.ไม่ควรเลี้ยงสุนัขไว้บนพื้น ลื่น เช่นกระเบื้อง หินอ่อนขัด เป็นต้น เพราะจะทำให้ขาสุนัขไม่สวย ขาจะแบะออกคล้ายๆกับว่ายืนได้ไม่มั่นคง
2. ไม่ควรอาบน้ำให้ลูกสุนัขที่อายุยังไม่ถึง 3 เดือน ถ้ารู้สึกว่าสกปรกใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดขนข้างนอกก็พอ ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆ อาบน้ำแล้วให้รีบเช็ดและเป่าให้แห้ง เดี๋ยวสุนัขจะเป็นหวัด
3. ระวัง ! อย่าให้ลูกสุนัขมุดใต้กรง หรือใต้อะไรที่แข็งและเป็นคาน เพราะมีโอกาสเสี่ยงที่จะเข้าไปติด ถูกกดทับ หรือเกิดอุบัติเหตุที่ทำให้เส้นหลังเสียได้
(กระดูกสันหลังจะแอ่น)
4. ควรดูแลรักษาปากและฟันของสุนัข อย่าให้กัดแทะของแข็งเกินไป เดี๋ยวฟันไม่แข็งแรงควรหากระดูกเทียมให้สุนัขแทะเล่น เอากระดูกแบบสีขาวและมีฟลูออไรด์ด้วยจะได้ทำความสะอาด ฟันสุนัขไปในตัว
5. เมื่อสุนัขเริ่มเป็นหนุ่มสาว(อายุ 7-8 เดือน) อย่าเพิ่งรีบให้ผสมพันธุ์ เพราะสุนัขยังไม่โตเต็มที่ อาจทำให้หยุดการเจริญเติบโตและทำให้ตัวเล็ก แล้วก็อาจจะแท้งหรือให้ลูกที่ไม่สมบูรณ์
6. เมื่อเริ่มโต สุนัขจะเริ่มมีขนร่วง ไม่ต้องแปลกใจ เป็นธรรมชาติของสุนัขที่มีการเจริญเติบโต
7. อาหารที่ใช้ควรเป็นอาหารเม็ด เพราะสะดวกรวดเร็ว ถ้าให้อาหารธรรมดา (ทำเอง) สุนัขจะเลือกกินแล้วจะไม่กินอาหารเม็ดอย่าให้แทะกระดูกจริงเพราะเดี๋ยวจะไป ทิ่มกระเพาะสุนัขและจะติดคอได้ง่าย
8. การฉีดวัคซีนและถ่ายพยาธิ ควรทำตามตารางที่สัตว์แพทย์แนะนำ