เนื่องจากความต้องการถ่ายเลือดในการรักษาแต่ละครั้ง แต่ละปีมีปริมาณมาก อีกทั้งการขาดแคลนเลือดสำรองในกรณีฉุกเฉินหรือการผ่าตัดต่างๆ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญอันทำให้ธนาคารเลือดสุนัขเกิดขึ้นเป็นรูปธรรม นอกจากนี้สำหรับเลือดที่ได้มาแล้ว จำเป็นต้องมีกระบวนการจัดเก็บที่มีประสิทธิภาพ ด้วยเลือดทุกหยดมีคุณค่า เราจึงต้องจัดเก็บอย่างดี ต้องทำการแยกและจัดเก็บเลือดไว้ให้นาน เพื่อที่จะสามารถสร้างประโยชน์ได้มากกว่าการถ่ายเลือดเพียงหนึ่งครั้ง จากจุดเริ่มต้นของความตั้งใจที่จะก่อตั้ง "ธนาคารเลือดสุนัข" จึงก่อตั้งมาได้ร่วมสองปีแล้ว หากแต่ความต้องการเลือดกลับไม่มีที่สิ้นสุด ในทุกปีที่ผ่านมาเราจึงต้องขอบริจากเลือดอยู่ตลอด เพราะว่าการผ่าตัดในบางครั้งสุนัขที่ทำการผ่าตัดเสียเลือดมาก หรือกรณีอุบัติเหตุ โรคพยาธิในเม็ดเลือดอย่างรุนแรงก็จำเป็นที่จะต้องมีเลือดที่จะรองรับในจุดนี้ด้วย
ถามมา
โทษหรืออันตรายจากการให้เลือดมีหรือไม่?
ตอบไป
ไม่มี เพราะทางโรงพยาบาล มีมาตรการต่างๆ เพื่อความปลอดภัยของสุนัข ผู้มาบริจาคเลือด เช่น ตรวจสุขภาพก่อนเก็บเลือดทุกครั้ง และการให้ยาซึมก็ไม่มีผลใดๆ ต่อสัตว์ และการบริจาคเลือดกลับเป็นการสร้างประโยชน์ให้แก่สัตว์ที่มาอีกทางหนึ่ง เพราะเท่ากับเป็นการถ่ายเลือดเก่าออกไปและทำให้เกิดการสร้างเม็ดเลือดใหม่ขึ้นมา
ถามมา
กลุ่มเลือดของสุนัขเป็นอย่างไร และแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่?
ตอบไป
ค กรุ๊ปเลือดของสุนัขมีทั้งหมด 8 กรุ๊ป คือ DEA1.1, DEA 1.2, DEA 3 , DEA 4 , DEA 5, DEA 6, DEA 7, DEA 8. ต่างจากมนุษย์คือ สุนัขจะไม่มี Antibody ในน้ำเลือด (Plasma) แต่จะมีสารเคลือบผิวเม็ดเลือด Antigen สำหรับหมู่เลือด DEA 1.1 , 1.2. ไม่สามารถเป็นผู้บริจาคเลือดได้แต่สามารถรับเลือดได้คล้ายกลุ่ม AB ในมนุษย์ส่วนกรุ๊ปเลือดอื่นๆ สามารถเป็นผู้บริจาคเลือดหรือรับเลือดกันได้ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นกรุ๊ปเลือดเดียวกัน แต่จะต้องมีการตรวจเลือดว่าเข้ากันได้หรือไม่ ส่วนกลุ่มที่สามารถบริจาคโลหิตให้กับทุกกลุ่มเลือด "(Universal dohor) คือกลุ่ม DEA 4"
ประโยชน์ของเลือด
ใช้ในการผ่าตัด ที่มีภาวะเสียเลือดมากๆ เช่น ตัดม้าม, ตัดตับ, ตัดไต, การตัดก้อนเนื้อในช่องท้อง
ในกรณีสัตว์จำเป็นต้องผ่าตัด แต่สภาพสัตว์ป่วยหนัก หรือไม่พร้อมสำหรับการผ่าตัด เช่น โลหิตจาง ,หรือมีปัญหาการแข่งตัวของเลือด
- ใช้ช่วยชีวิตสัตว์ที่ได้รับยาเบื่อหนูกลุ่ม Wafarin เนื่องจากเลือดจะไหลไม่หยุด (ยาเบื่อจะไปยับยั้งสารที่ช่วยการแข่งตัวของเลือด) ถ้าจะมียาแก้พิษ แต่ก็จำเป็นต้องใช้พลาสมาแช่แข็งเพื่อช่วยชีวิต
- ภาวะสัตว์ที่กำลังช็อก เนื่องจากขาดเลือด, ขาดโปรตีนอย่างรุนแรง
- ในกรณีที่เป็นพยาธิเม็ดเลือดอย่างรุนแรง หรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาวางยา จำเป็นที่ต้องใช้เลือดเพื่อพยุงร่างกายสัตว์ให้สามารถทำการรักษาต่อ
- ใช้รักษาโรคทางกรรมพันธุ์ บางอย่างซึ่งทำให้เกิดเลือดไหลไม่หยุดเช่น Hemophillia a, Hemophillia b, von eilihamd dio
- ใช้รักษาสภาวะที่สัตว์มีภาวะขาดอาหารอย่างรุนแรงโดยเฉพาะในลูกสัตว์
-ใช้รักษาสัตว์ในสภาวะฉุกเฉินที่มีภาวะเลือดออกในอวัยวะภายใน เช่นในช่องท้อง หรือในช่วงอก อาจพัฒนาทำเป็น Hyper immune seum ในกรณีลูกสัตว์ที่ป่วยเป็นโรคทางไวรัสเช่น สำไส้อักเสบ , ไข้หัด
เพราะเหตุใดสุนัขจึงต้องมีการให้เลือด
--------------------------------------------------------------------------------
สุนัขอาจจะมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการได้รับการให้เลือดด้วยเหตุผลหลายๆ ประการ เลือดของสุนัขก็คล้ายกับเลือดของมนุษย์คือ ประกอบด้วยเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือดและน้ำเลือด และเลือดที่ได้รับบริจาคจากสุนัขก็สามารถแยกออกเป็นส่วนประกอบต่างๆ ด้งที่กล่าวไปแล้วด้วยเหมือนกัน เพื่อการใช้งานตามวัตถุประสงค์ความต้องการของสุนัขป่วยที่ต้องการที่จำเพาะและก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดของเลือดที่ได้รับบริจาคสุนัข แต่โดยทั่วไปสุนัขที่ต้องการเลือดมักจะต้องการเม็ดเลือดแดง หรือน้ำเลือดมากที่สุด
การให้เลือด หรือเม็ดเลือดแดงมักจะใช้กรณีเพื่อการรักษาโรคโลหิตจาง (anemia) นอกจากนี้แล้วสุนัขอาจจะต้องการเลือดในกรณีที่ได้รับอุบัติเหตุ หรือกรณีทำการผ่าตัดศัลยกรรม หรือกรณีที่สัตว์ป่วยไม่สามารถสร้างเม็ดเลือดแดงได้ หรือกรณีที่เม็ดเลือดแดงในร่างกายถูกทำลายอย่างรุนแรง (จากโรค เช่น พยาธิในเม็ดเลือดแดง เป็นต้น)
สำหรับน้ำเลือด (plasma) ประกอบด้วยโปรตีน หรือเอนไซม์ต่างๆ ซึ่งมีความสำคัญเกี่ยวกับการทำให้เลือดมีการแข็งตัว (clot) มักมีความจำเป็นสำหรับการรักษาภาวะเลือดออก (bleeding) อันเนื่องมาจากโรคตับ หรือกรณีที่เกิดเลือดออกจากการได้รับสารหนู (rodent poison) นอกจากนี้น้ำเลือดยังมีความจำเป็นสำหรับสุนัขป่วยที่มีระดับโปรตีน หรืออัลบูมินในเลือดต่ำ ส่วนประกอบอื่นๆ ของน้ำเลือด เช่น cryoprecipitate จะใช้สำหรับการรักษาโรคเลือดไหลไม่หยุด (hemophillia) หรือโรคอื่นๆที่เกี่ยวกับปัญหาภาวะเลือดออกไม่หยุดอันเนื่องมาจากพันธุกรรม
สุนัขที่บริจาคเลือดมาจากไหน
--------------------------------------------------------------------------------
เลือดในธนาคารเลือด ณ โรงพยาบาลสัตว์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ได้รับมาจากสุนัขที่มาบริจาคเลือด มีสุนัขหลายพันธุ์ที่มาให้เลือดเป็นประจำ (ซึ่งมีปรากฎในหน้าสุนัขใจบุญครับ/ค่ะ) โดยผู้นำสุนัขมาบริจาคเลือดให้มาติดต่อหน่วยงานประชาสัมพันธ์โรงพยาบาลสัตว์ บางเขน ติดกรมป่าไม้ ่จากนั้นจะมีการตรวจร่างกาย ถ้าไม่มีปัญหาใดๆ การเก็บเลือดก็จะเกิดขึ้น ณ ห้องปฏิบัติการธนาคารเลือด ชั้น 3 อาคารโรงพยาบาลสัตว์ 9 ชั้น หรือตึกเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา สุนัขที่บริจาคเลือดจะไม่ได้รับความเจ็บปวดใดๆ จากการบริจาคเลือด การเก็บเลือดจะใช้ระยะเลาประมาณ 5-15 นาที ขั้นตอนต่างๆจะมีความคล้ายคลึงกับกระบวนการในธนาคารเลือดของคน
เลือดที่ได้รับบริจาคจากสุนัขปลอดภัยหรือไม่
สุนัขที่มาบริจาคเลือดจะได้รับการตรวจกรอง (screened) โรคที่สามารถติดต่อกันได้ทางเลือด เพื่อเป็นหลักประกันว่าสุนัขที่เข้าสู่กระบวนการบริจาคเลือดมีสุขภาพดี โดยปกติแล้วเราจะรับสุนัขที่มีหมู่เลือดในกลุ่ม "universal blood type" หรือสุนัขที่มีหมู่เลือดที่สามารถเข้ากับหมู่เลือดอื่นๆได้ทั้งหมด ถ้าเปรียบเทียบกันในคนก็คือคนหมู่เลือดโอ เท่านั้น เพื่อลดความเสี่ยงปฏิกิริยาทางเคมีของการเข้ากันไม่ได้ของหมู่เลือดจากการให้เลือด แต่เนื่องจากเราไม่สามารถเลือกสุนัขที่มาบริจาคได้ การรับบริจาคจึงไม่จำกัด เพียงแต่ก่อนการให้เลือดจะต้องมีตรวจการเข้ากันได้ของหมู่เลือดเท่านั้นเอง เลือดที่เก็บจากสุนัขใจบุญจะถูกเก็บไว้ในถุงพลาสติกที่ปราศจากเชื้อโรค ขั้นตอนการเก็บและรักษาจะทำให้เลือดปราศจากการปนเปื้อนเชื้อโรคและเก็บไว้ในตู้เก็บเลือดเช่นเดียวกับธนาคารเลือดของคน โดยปกติเลือดที่ได้รับบริจาคมีการกำหนดวันหมดอายุปรากฎอยู่และทำลายเมื่อหมดอายุ แต่เนื่องจากความต้องการเลือดยังมีอยู่มาก เลือดจึงยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ
เขาให้เลือดกับสุนัขกันอย่างไร ก่อนการให้เลือด หรือองค์ประกอบของเลือดอื่นๆกับสุนัข สัตวแพทย์จะทำการตรวจการเข้ากันได้ของหมู่เลือด (crossmatch) เสียก่อน เพื่อความมั่นใจว่า เลือดที่จะให้กับสุนัขไม่มีปฏิกิริยาต่อสุนัขที่ได้รับเลือด เลือดจะถูกถ่ายให้กับสุนัขที่ต้องการเลือดด้วยการให้ทางสายยางผ่านเข้าหลอดโลหิตดำ (ในลักษณะเดียวกับการให้สารน้ำผ่านทางหลอดเลือดดำ) อย่างช้าๆ อัตราเร็วของการให้และปริมาณเลือดที่จะให้กับสุนัขจะขึ้นอยู่กับความจำเป็น ความต้องการและขนาดของสุนัข
สุนัขของฉัน/ผมมีความเสี่ยงต่อการรับเลือดหรือไม่
เลือดที่ได้จากการบริจาคจะเป็นเลือดที่มาจากสุนัขที่มีสุขภาพดี ก่อนการให้เลือดกับสุนัขตัวรับเลือดจะได้รับการตรวจถึงความเข้ากันได้ของหมู่เลือด ดังนั้นความเสี่ยงต่อการให้เลือดจึงมีน้อยมาก แต่สุนัขบางตัวเมื่อได้รับเลือดแล้วอาจจะมีไข้เกิดขึ้นได้ หรืออาจจะพบว่าหน้าบวมเล็กน้อย (mild facial swelling) ในระหว่าง หรือหลังการให้เลือดก็ได้ ภาวะนี้สัตวแพทย์สามารถแก้ไขได้ สุนัขที่ป่วยด้วยโรคที่ค่อนข้างรุนแรงและต้องได้รับการให้เลือดซ้ำอาจจะพัฒนาปฏิกิริยาการตอบสนองต่อการได้รับเลือดได้
ภาวะของสุนัขที่จำเป็นต้องรับเลือด
-ใช้ในการผ่าตัดที่มีภาวะเสียเลือดมาก ๆ เช่น การตัดม้าม, ตัดตับ, ตัดไต หรือการผ่าตัดใหญ่อื่น ๆ
-ในกรณีสัตว์จำเป็นต้องผ่าตัด แต่สภาพสัตว์ป่วยหนักหรือไม่พร้อมสำหรับการผ่าตัด เช่น เป็นโรคโลหิตจาง หรือมีปัญหาการแข็งตัวของเลือด
-ใช้ช่วยชีวิตสัตว์ที่ได้รับยาเบื่อหนู กลุ่ม Warfarin เนื่องจากเลือดจะไหลไม่หยุด (ยาเบื่อจะไปยับยั้งสารที่ช่วยในการแข็งตัวของเลือด) ถึงจะมียาแก้พิษแต่ก็ต้องใช้พลาสมาแช่แข็ง ควบคู่กันเพื่อช่วยชีวิต แต่ในกรณีวิกฤตจำเป็นต้องใช้พลาสมาแช่แข็งเพื่อช่วยชีวิต
-ภาวะสัตว์ที่กำลังช็อก เนื่องจากขาดเลือด, ขาดโปรตีนอย่างรุนแรง
-ในกรณีที่เป็นพยาธิเม็ดเลือดอย่างรุนแรง หรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาทางยา จำเป็นต้องใช้เลือดเพื่อพยุงร่างกายสัตว์ให้สามารถทำการรักษาต่อได้
-ใช้รักษาโรคทางกรรมพันธุ์บางอย่าง ซึ่งทำให้เกิดอาการเลือดไหลไม่หยุด เช่น Hemophilia a, Hemophilia b, von willebrand disease
-ใช้รักษาสัตว์ที่มีภาวะขาดอาหารอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในลูกสุนัข
-ใช้รักษาสัตว์ในภาวะฉุกเฉินที่มีเลือดออกใน อวัยวะภายใน เช่น ในช่องท้องหรือในช่องอก อาจพัฒนาทำเป็น Hyper immune seum ในกรณี ลูกสัตว์ที่ป่วยเป็นโรคไวรัส เช่น ลำไส้อักเสบ,ไข้หัด
คุณสมบัติของสุนัขที่สามารถบริจาคเลือดได้+ อายุสุนัขควรอยู่ระหว่าง 1 - 6 ปี ไม่จำกัดเพศ พันธุ์ (ถ้าเป็นเพศเมียต้องรอให้หมดประจำเดือนก่อน)
+ มีน้ำหนักไม่น้อยกว่า 20 กิโลกรัม
+ มีประวัติการทำวัคซีน ได้แก่ป้องกันวัคซีนรวม เช่น ลำไส้อักเสบ, ไข้หัด, ตับอักเสบ, เลปโตสไปโรซีส วัคซีนพิษสุนัขบ้า โรคพยาธิหนอนหัวใจ
+ ไม่มีประวัติของโรคพยาธิในเม็ดเลือด
+ ไม่เคยรับการผ่าตัดใหญ่ในระยะ 1 - 2 เดือน ก่อนบริจาคโลหิต
+ สุนัขมีสุขภาพแข็งแรง
หากสุนัขของคุณมีคุณสมบัติครบถ้วน ก่อนถึงวันนัดบริจาคโลหิตควรงดน้ำและอาหาร เพื่อความปลอดภัยในการให้ยาซึม และเมื่อท่านนำสุนัขมาบริจาคโลหิตให้กับทางโรงพยาบาลสัตว์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้ จะมีวิธีการดังนี้
วิธีการในการบริจาคเลือด
+ นำสุนัขมาตรวจเช็คสุขภาพและตรวจเลือดกับสัตวแพทย์ ในกรณีที่ผลตรวจเลือดผิดปกติทางโรงพยาบาลจะแจ้งให้ทราบทันที
+ เมื่อตรวจเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะเจาะเก็บเลือดสัตวแพทย์จะทำการให้ยาซึม เพื่อป้องกันสุนัขดิ้นระหว่างการทำการเจาะเลือด เนื่องจากบริเวณที่ใช้ในการเจาะเลือดคือบริเวณลำคอ ถ้าสุนัขดิ้นอาจเกิดอันตรายได้การวางยาซึมนี้จะไม่มีผลข้างเคียงใดๆ หากแต่สุนัขจะมีอาการง่วงซึมเท่านั้น
+ ในการบริจาค 1 ครั้ง จะเก็บเลือดปริมาณ 1 Unit หรือ 350 ซีซี ซึ่งโดยปกติความสามารถในการให้เลือดจะอยู่ระหว่าง 10 -20 ซีซี ต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัม และความถี่ในการบริจาคเลือดทุกๆ 4 - 6 เดือน
+ เมื่อสามารถเก็บผลเลือดได้ตามความต้องการแล้ว สัตวแพทย์จะให้ยาบำรุงเลือดพร้อมบัตรประจำตัวผู้บริจาคเลือด โดยการบริจาคจะไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น